แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนา พระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษปรารภวิสาขบูชาดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่แล้ว วันวิสาขบูชานี้เป็นวันพิเศษสำคัญในพระพุทธศาสนาอย่างไร ก็ได้พรรณนากันมาทุกปี ๆ แต่ว่าก็ยังมีส่วนที่ยังจะต้องระลึกนึกถึงให้มากเป็นพิเศษออกไปอยู่นั่นเอง หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็เป็นการทบทวนความคิด ความนึก ความรู้สึก เป็นประจำปีทุกปีดังนี้ก็ได้ เพราะว่าธรรมะนี้เป็นของลึกซึ้ง จำเป็นที่จะต้องทบทวนกันอยู่เสมอ หรือว่าอย่างน้อยก็เป็นเครื่องปลุกกำลังใจ ความเชื่อ ศรัทธา ความเลื่อมใส ให้ยังคงมั่นคงอยู่เป็นประจำ ในโอกาสเช่นวันนี้ เป็นโอกาสที่จะได้กระทำกันเป็นพิเศษ
พุทธบริษัทประชุมกันในวันเช่นวันนี้ซึ่งเรียกว่าวันวิสาขบูชานี้ทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายไปทุกหนทุกแห่งในโลก แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งมั่นอยู่อย่างเป็นปึกแผ่นมั่นคงในที่บางแห่ง แต่ก็มีผู้ที่พอใจที่จะนับถือพระพุทธศาสนาอยู่ทั่ว ๆ ไปในฐานะที่เป็นวิชาความรู้อันสูงสุดของมนุษย์ บุคคลบางคนแม้ว่าจะถือศาสนาอื่นอยู่โดยประเพณีแต่ก็อดระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษในวันเช่นวันนี้ไม่ได้ ในประเทศอินเดียแม้บุคคลจะถือศาสนาพราหมณ์โดยกำเนิด ประกาศตนเป็นผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ แต่เมื่อถึงวันวิสาขบูชาเช่นวันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกระทำพิธีบูชาพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นพระศาสดาคนหนึ่ง องค์ ๆ หนึ่งในประเทศอินเดีย แม้จะนับถืออย่างว่าเป็นชาวอินเดียผู้ประเสริฐสุดคนหนึ่งเท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะกระทำวิสาขบูชาตามสมควรแก่กรณี
ในประเทศตะวันตกซึ่งเราเรียกกันว่าเมืองฝรั่งนั้นก็มีบุคคลเป็นจำนวนมากไม่น้อยเลยที่นับถือพุทธศาสนา ประชุมกันกระทำวิสาขบูชาเป็นกิจลักษณะอยู่ทั่ว ๆ ไป แม้ในที่บางแห่งจะมีน้อยคน จนไม่สามารถจะทำพิธีให้ใหญ่โตได้ก็ยังอุตส่าห์ทำเป็นที่ระลึก ด้วยอำนาจอะไรท่านทั้งหลายลองพิจารณาดู ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดครอบงำจิตใจของมนุษย์ ครอบงำจิตใจของมนุษย์ ผู้มีสติปัญญา จนถึงกับอดพอใจไม่ได้ อดนับถือไม่ได้ นับถือด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นับถือเพราะความมีเหตุผลของตน ของตน อย่างนี้ก็มีอยู่เป็นอันมาก ดังนั้นจึงกล้ากล่าวว่าในวันนี้มีคนทำวิสาขบูชาในลักษณะใด ลักษณะหนึ่งกันทั่วไปทั้งโลกทีเดียว ในประเทศทางตะวันตกนั้นก็ยิ่งทวีจำนวนผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น ๆ การทำวิสาขบูชาก็มีมากแห่งขึ้นและมากคนขึ้นเป็นลำดับ พุทธบริษัททั้งหลายควรจะรู้สึกนึกถึงความสำคัญข้อนี้ว่าถ้าเมื่อใดพระพุทธศาสนาแผ่ไปทั่วโลกแล้ว โลกนี้ก็มีหวังที่จะมีความสงบสุขมากขึ้นกว่าแต่กาลก่อน
โดยเนื้อแท้แล้วศาสนาใดก็ได้ล้วนแต่เป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดความสงบสุขทั้งนั้น แต่ว่าศาสนาบางศาสนานั้นไม่ทนต่อการพิสูจน์ของคนสมัยนี้ซึ่งมีสติปัญญาในการพิสูจน์ เมื่อเขาพิสูจน์แล้วไม่ทนต่อการพิสูจน์ก็คลายจากความนับถือ จึงมีศาสนานั่นศาสนานี่ที่ศาสนิกชนคลายความนับถือลงไป พวกที่เคยถือพระเจ้ามาแต่ปู่ย่าตายายก็คลายความนับถือพระเจ้าจนเด็กหนุ่ม ๆ กล่าวกันว่าพระเจ้าตายแล้ว นี่ก็หมายความว่าไม่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้านั่นเอง ทำให้การนับถือศาสนานั้นย่อหย่อนลงไป มีน้อยลงไป ไม่พอแก่การที่จะช่วยกันธำรงสันติในโลกนี้ไว้ได้
แท้ที่จริงศาสนาทุกศาสนาช่วยให้เกิดสันติภาพได้ทั้งนั้นถ้าคนยังนับถืออยู่ เมื่อคนเกิดไม่นับถือขึ้นมามันก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้จะเป็นศาสนาที่อาศัยความเชื่ออย่างงมงายถ้าคนยังถือมั่นอยู่ก็ช่วยได้ที่จะรักษาความสงบในโลกนี้ไว้ มีศาสนาบางศาสนาที่แท้จริงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องของความจริงแต่คำอธิบายนั้นไม่เพียงพอ เห็นเป็นของงมงายไปเสียก็มีจึงต้องอธิบายกันเสียใหม่ให้เข้าถึงความจริงของศาสนานั้น ๆ ยิ่งขึ้น ก็เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจหรือความพอใจกันใหม่ อาจจะรับนับถือศาสนานั้นได้ขึ้นมาอีกยุคหนึ่งดังนี้ก็มี เพราะฉะนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ศาสนาแต่ละศาสนาจะได้ปรับปรุงวิธีสอนวิธีอธิบายในศาสนาแห่งตน แห่งตน ให้เป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนในยุคปัจจุบันนี้ ก็จะเป็นการช่วยให้โลกนี้มีศาสนาเป็นเครื่องคุ้มครองมากขึ้นนั่นเอง จึงหวังว่าแต่ละคนที่นับถือศาสนาแต่ละศาสนา จะได้ทำความเข้าใจในศาสนาของตน ของตน ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนเรียกว่ามนุษย์ทุกคนมีศาสนา ในที่สุดก็จะค่อย ๆ หมุนไปสู่ความสงบสุขได้โดยไม่ยากเลย แต่ถ้าเกิดดูถูกดูหมิ่นศาสนาเสียแล้ว โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยความมืดมนอันจะนำมาซึ่งความทุกข์ส่วนบุคคลและการเบียดเบียนซึ่งกันและกันเป็นความทุกข์ร้อนของส่วนรวม เป็นความทุกข์ของโลกทั้งโลกไปก็ได้
สิ่งที่เรียกว่าศาสนามีความสำคัญอยู่ดังนี้ เราทั้งหลายก็ช่วยกันทุกวิถีทางตามที่จะช่วยกันได้ให้ศาสนานั้นยังคงมีอยู่ เป็นที่พึ่งเป็นที่ยึดหน่วงในการเป็นอยู่แห่งตน แห่งตน ให้โลกนี้มีศาสนาให้จนได้ ทีนี้สำหรับเราพุทธบริษัททั้งหลายก็มีการกระทำอย่างนี้อยู่แล้วเป็นประจำและพยายามกระทำให้มีความมั่นคงแน่นแฟ้นเป็นปึกแผ่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป ดังนั้นการทำวิสาขบูชาในวันนี้เช่นวันนี้ ก็ควรจะได้มีการกระทำให้ก้าวหน้าไปตามส่วนคือให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ให้มีความเชื่อความเลื่อมใสเพิ่มขึ้น ให้มีความแน่นอน ให้มีความแน่ใจให้มีความกล้าหาญ ให้มีความพากเพียรในการที่จะปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปนั่นเอง ในที่สุดก็เรียกว่าตัวของพระศาสนานั้น ยังคงมีอยู่ในหมู่มนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท ไม่ใช่มีอยู่แต่เพียงพิธีรีตอง การที่มีแต่เพียงพิธีรีตองนั้นช่วยอะไรได้น้อยเกินไปแล้วก็จะง่อนแง่นคลอนแคลนได้ในที่สุด การทำพิธีนั้นก็นับว่าเป็นการดี ถ้าหากว่าทำด้วยความรู้ความเข้าใจ การประกอบพิธีนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ถ้าทำอย่างงมงายกลายเป็นรีตองไปแล้ว มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรนัก สิ่งที่เรียกว่าพิธีเป็นอย่างหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าพิธีรีตองนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนกัน เรากระทำพิธีวิสาขบูชาเช่นวันนี้ ฟังดูเถิดว่าจะต้องทำให้ถูกต้องตามวิธีไม่ใช่ทำพอเป็นเพียงพิธีรีตอง พอสักว่าให้ทำแล้วก็แล้ว ๆ กันไป การที่จะทำให้ถูกวิธีนั้นมีความสำคัญอยู่ตรงที่มีความเข้าใจในสิ่งที่ตนกำลังกระทำนั้นอย่างเพียงพอ เมื่อพุทธบริษัทจะกระทำพิธีวิสาขบูชาก็ต้องมีความเข้าใจในสิ่งนี้ อย่างน้อยก็ในคำ ๆ นี้ว่าเป็นอย่างไร แล้วก็มีจิตใจที่สว่างไสวในการกระทำ แล้วก็เพิ่มพูนความเชื่อความเลื่อมใสในสิ่งที่กระทำในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งการกระทำหรือในบุคคลอันเป็นที่ตั้งแห่งการกระทำคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกครั้งที่กระทำ เมื่อเป็นดังนี้ก็เรียกว่าทำถูกต้องตามพิธี เป็นการประกอบพิธีวิสาขบูชาที่มีความหมาย มีความสำเร็จประโยชน์โดยสมควรแก่ความเป็นพุทธบริษัทของเรา เพราะฉะนั้นก่อนแต่ที่จะกระทำพิธีวิสาขบูชาอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องระลึกนึกถึงองค์สมเด็จพระบรมศาสดาซึ่งเป็นผู้ที่เรากระทำพิธีวิสาขบูชาอุทิศพระองค์ หมายความว่าเรากระทำพิธีวิสาขบูชานี้กระทำอุทิศพระพุทธเจ้า และการกระทำนี้เนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะโดยตรงแต่ผู้เดียว
ดังที่เราทราบกันแล้วทราบกันอีกอยู่เสมอว่า วันวิสาขบูชานี้เป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้และเป็นวันปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีความสำคัญอยู่ ๓ ประการในคำ ๆ นี้คือเป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้ และเป็นวันปรินิพพาน แล้วยังมีความอัศจรรย์หรือเป็นปาฏิหาริย์โดยเหตุที่ว่าเหตุการณ์ทั้ง ๓ อย่างนี้มีพ้องกันในวันเดียวกันคือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะเช่นวันนี้ นี่ก็เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่อุทิศพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทิศความน่าอัศจรรย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทิศแก่พระธรรมคำสอนซึ่งเป็นนิยยานิกธรรมนำบุคคลให้ออกจากกองทุกข์ได้และเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีความรู้สึกในใจอยู่ดังนี้กระทำการบูชานี้ออกไปก็ได้ชื่อว่ากระทำวิสาขบูชาอย่างถูกต้อง ข้อแรกที่เราจะต้องมีความรู้สึกอยู่อย่างสว่างไสวแจ่มแจ้งในจิตใจนั้นก็คือพระคุณของพระพุทธเจ้านั่นเอง คุณของพระพุทธเจ้ามีอยู่มากมายอย่างน้อยที่สุดเราก็เรียกว่ามีพระคุณ ๙ ดังที่เราสวดบทพระพุทธคุณว่า
อิติปิโส ภะคะวา แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อะระหัง เป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะด้วยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต เป็นผู้เสด็จไปดี
โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งซึ่งโลก
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษไม่มีสารถีอื่นยิ่งไปกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ภะคะวา เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้
ในพระคุณทั้ง ๙ อย่างนี้จะได้วิสัชนากันพอเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนดในวันนี้สัก ๓ ประการ คือบทว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ และ วิชชาจะระณะสัมปันโน
บทที่ ๑ ว่า อะระหัง แปลว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ คนธรรมดามีกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จึงต้องเวียนว่ายไปตามอำนาจของกิเลสซึ่งเรียกว่าเวียนว่ายไปในสังสารวัฏ ข้อนี้หมายถึงการที่ว่ากิเลสเป็นเหตุให้กระทำกรรมลงไปดีก็ตามชั่วก็ตามแล้วก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ได้รับผลของกรรมนั้นแล้วก็ยังมีกิเลสเหลืออยู่สำหรับกระทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีก จึงกลายเป็นเวียนว่ายอยู่ในวงกลมซึ่งเรียกว่าสังสารวัฏ ส่วนพระอรหันต์นั้นเป็นผู้ทำลายกิเลสเสียได้จึงไม่มีอะไรเป็นเหตุให้เวียนว่ายเป็นวงกลม เขาจึงเรียกพระอรหันต์ว่าเป็นผู้ทำลายเสียได้ซึ่งสังสารวัฏ นี้ก็หมายความว่าทำลายเสียได้ทั้งกิเลสและความทุกข์ เป็นผู้มีความสะอาดปราศจากกิเลสแล้วก็เป็นผู้มีความสงบเย็นไม่เป็นความทุกข์แต่ประการใด เรียกว่าพระอรหันต์
ส่วนบทว่า สัมมาสัมพุทโธ นั้นเล็งถึงความรู้และเป็นความรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง นี้เล็งถึงความสว่างไสว พุทโธแปลว่า รู้ สัมพุทโธ แปลว่า รู้พร้อมคือรู้ทุกอย่าง รู้เอง สัมมา แปลว่า โดยชอบ สัมมาสัมพุทโธ จึงมีใจความสำคัญว่าตรัสรู้เองโดยชอบ ความรู้นี้เป็นความรู้ที่ถูกต้องครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วพระองค์ยังตรัสรู้โดยพระองค์เองอีกด้วยเพราะว่าไม่มีผู้ใดรู้สิ่งนี้มาแต่กาลก่อน ดังนั้นจึงมีความประหลาดน่าอัศจรรย์และมีนามว่า สัมมาสัมพุทโธ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าเป็นบุคคลพิเศษทุกอย่างทุกประการและมีอยู่แต่พระองค์เดียว
สำหรับบทว่า วิชชาจะระณะสัมปันโน นั้น แปลว่าถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ วิชชาคือความรู้ จรณะคือความประพฤติ บุคคลมีแต่ความรู้มากแต่แล้วก็ทำตามความรู้ไม่ได้นี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าบุคคลไม่มีความรู้มันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นบุคคลจะต้องมีทั้งความรู้และการกระทำ ความรู้ที่เฟ้อเกินไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะไม่เกี่ยวกับการกระทำ คนสมัยนี้รู้อะไรมากในลักษณะที่เฟ้อคือใช้ประโยชน์จริง ๆ ได้เป็นส่วนน้อยและยังมีที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่า รู้หรือทำได้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น ส่วนที่มันจำเป็นนั้นกลับไม่รู้และทำไม่ได้ ที่ว่ารู้กระทำได้ในส่วนที่ไม่จำเป็นนั้นหมายถึงความรู้และการกระทำที่แม้ว่ากระทำสักเท่าไรก็ไม่ช่วยให้มนุษย์นี้มีความสงบสุขได้ ขอให้พิจารณาดูให้ดี ๆ ในข้อที่ว่าสมัยนี้เราเรียกกันว่าเป็นสมัยที่มีความเจริญ เจริญทั้งความรู้และเจริญทั้งการงานโลกนี้ก็เกิดมีอะไรขึ้นมามากมายหลายอย่างหลายประการแล้วแต่ว่ามนุษย์จะต้องการอะไรก็ทำขึ้นมาได้ตามความต้องการ
แต่ในที่สุดกลับปรากฏว่าโลกนี้ยิ่งมีความเดือดร้อนความเป็นทุกข์มากขึ้นกว่าแต่กาลก่อน คือมากกว่าสมัยที่ยังไม่ค่อยรู้อะไรหรือทำอะไรไม่ค่อยได้ เดี๋ยวนี้ทำอะไรกันได้บ้างเราก็เห็นกันอยู่ จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีการไปโลกพระจันทร์ได้ นี้ก็เรียกว่าเป็นการก้าวหน้าทั้งความรู้และการกระทำที่เป็นของใหม่ ๆ ปัจจุบันนี้ ความรู้ทำนองนี้ได้มีมามากมายจนกระทั่งไปโลกพระจันทร์ได้และต่อไปในอนาคตก็จะไปโลกพระอังคาร โลกพระศุกร์หรือโลกอื่น ๆ ได้ แต่แล้วจงคำนวณดูเถิดว่าสันติสุขในโลกนี้จะเป็นอย่างไร แม้จะไปโลกพระจันทร์ได้ก็ยิ่งมีความทุกข์ยากลำบาก กระวนกระวาย ระส่ำระสายมากขึ้นกว่าแต่กาลก่อน แม้ว่าจะมีเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับกิน สำหรับอยู่ สำหรับไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบายอย่างที่เรียกว่าวิเศษหรือพิเศษมากกว่าแต่กาลก่อนมากมายนัก แต่แล้วก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นกว่าแต่กาลก่อน นี่แหละมันเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาดูว่าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ น่าเลื่อมใส น่าศรัทธากันที่ตรงไหน ยิ่งมีอะไรก้าวหน้าก็กลายเป็นยิ่งมีความทุกข์มากอย่างนี้มันมีอะไรที่น่าพอใจ เดี๋ยวนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเขาก็มีอะไร ๆ กันมากหมดทุกอย่างแล้ว มันยังขาดอยู่อย่างเดียวคือขาดอยู่แต่สิ่งที่จะทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เขามี หมายความว่าเขามีอะไรมากอย่าง ทุกอย่างหรือมากอย่างแต่แล้วก็ล้วนแต่ให้เกิดความทุกข์ยากวุ่นวายขึ้นเพราะสิ่งเหล่านั้นทั้งนั้น ส่วนสิ่งอีกสิ่งเดียวคือสิ่งที่จะแก้ไขความทุกข์อันเกิดจากสิ่งต่าง ๆ ที่เขามีนั้นยังหามีไม่ ดังนั้นยิ่งมีอะไรมากขึ้นก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย นี่แหละคือความเจริญแผนใหม่ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ คือเจริญเท่าไรก็ยิ่งไกลออกไปจากความสงบสุข ยิ่งมีอะไรมากขึ้นตามความเจริญแผนใหม่ก็ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากลำบากขึ้นมากในโลกนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นควรจะ คิด นึก รู้สึก หรือสลด สังเวช สมเพช เวทนาตัวเองกันเสียบ้าง ในข้อที่ว่าขวนขวายแต่สิ่งที่จะนำมาซึ่งความยุ่งยากและไม่เคยขวนขวายในสิ่งที่จะช่วยระงับความยุ่งยากนั้น ๆ ดังนั้นคนจึงเป็นโรคทางจิตทางวิญญาณกันมากขึ้น หมายความว่ามีการเป็นอยู่ทางเนื้อทางหนังทางร่างกายนี้ดูก็สบายดี แต่ในทางจิตใจนั้นเต็มไปด้วยความระส่ำระสายความวิตกกังวลจนเป็นโรคเส้นประสาทจนเป็นโรคจิตจนเป็นคนบ้าหรือเป็นคนฆ่าตัวตาย แล้วพร้อมกันนั้นก็มีแต่การเบียดเบียนซึ่งกันและกันคือการแย่งชิงวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางร่างกายนั่นเอง
ข้อนี้จะต้องพิจารณาดูให้ดี ๆ จนจับใจความสำคัญซึ่งมีอยู่นิดเดียวให้ได้ว่า การเบียดเบียนซึ่งกันและกันนั้นคือการแย่งชิงปัจจัยแห่งความทุกข์ของกันและกัน สิ่งซึ่งเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์นั่นแหละกลายเป็นสิ่งที่มาแย่งชิงกันแล้วก็ฆ่ากันเพราะการแย่งชิงนั้น ๆ โดยส่วนตัวบุคคลก็ดีโดยส่วนรวมระหว่างชาติระหว่างประเทศหรือเกี่ยวพันกันทั้งโลกก็ดี ล้วนแต่เป็นการแย่งชิงสิ่งซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งนั้น ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อแต่ถ้าพิจารณาดูแล้วจะเห็นจริงว่าสิ่งที่กำลังแย่งชิงรบราฆ่าฟันกันอยู่นั้นล้วนแต่เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เพื่อให้ตนได้มีความทุกข์มากขึ้นและเพื่อให้ผู้อื่นก็พลอยเดือดร้อนมากขึ้น เมื่อหลงใหลกระทำกันอยู่ดังนี้โลกนี้ก็เต็มไปแต่ด้วยความทุกข์ มีคนที่เป็นอันธพาลทางวิญญาณมากขึ้น ๆ ความเป็นอันธพาลทางวิญญาณนี้ต้องเข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่าเขาไม่เป็นอันธพาลตามธรรมดาสามัญแต่เป็นอันธพาลทางวิญญาณคือมีความโง่ มีความหลง มีความเข้าใจผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความทุกข์นั้นว่าเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความสุข นี่แหละคือการเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้หมายถึงการแย่งชิงกัน แข่งขันกันแล้วก็แย่งชิงกันในวัตถุปัจจัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ที่จริงมนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งเหล่านี้ก็มีทางที่จะมีความสุขอยู่ได้หรือว่าจะมีความสุขดีไปเสียกว่าที่จะมีสิ่งเหล่านี้
เดี๋ยวนี้เรามีอะไรบ้างเราก็เห็น ๆ กันอยู่พอจะเข้าใจกันอยู่ แต่แล้วไม่ดูให้ดีว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นเป็นของเฟ้อเป็นของเหลือเฟือ อะไร ๆ ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเราก็พยายามที่จะมีให้มันยิ่งขึ้นไป วัตถุเฟ้อวัตถุเหลือเฟือนี่เองเป็นเครื่องจูงหรือล่อลวงให้มนุษย์หลงใหลจนกระทั่งได้เบียดเบียนกัน และเป็นเหตุให้มนุษย์ก้าวหน้าไปอย่างเร็วเหมือนกับวิ่งไปทีเดียว แต่ว่าความก้าวหน้าอย่างเร็วนั้นกลายเป็นก้าวหน้าไปหาความยุ่งยากลำบากสับสนวุ่นวายโกลาหลมากขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นเมื่อสมัยก่อนโน้นไม่มีรถไฟ ไม่มีเรือบินเราก็ไม่ต้องไปไหนแล้วยังอยู่สบายกันยิ่งกว่าคนสมัยนี้ ซึ่งมีรถไฟมีเรือบิน บินไปบินมาให้ว่อนไปทั้งโลก
แต่แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากความยุ่งยากลำบาก เพราะว่าเรื่องที่เขาต้องบินไปบินมานั้นเป็นเรื่องไม่จำเป็น เป็นเรื่องเพิ่มความยุ่งยากลำบากโกลาหลวุ่นวายระส่ำระสายทั้งนั้น แต่แล้วเขาก็ไม่เชื่อและมองไม่เห็น เห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ถูกแล้วถ้าจะพูดว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นมันก็จำเป็นสำหรับคนที่บ้ามากแล้ว จำเป็นสำหรับคนที่ไปทำเรื่องอะไรให้ยุ่งยากมากขึ้นแล้วมันก็จำเป็นที่จะต้องทำต่อไป หรือแก้ไขเรื่องที่ตัวทำให้มันยุ่งยากลำบากมากขึ้น ตอนนี้มันไม่มีเมื่อก่อนนี้อยู่กันแต่ในวงแคบ ๆ ธุระการงานมันไม่กว้างขวางก็ยังอยู่กันได้สบาย พอมีอะไรมาทำให้เกี่ยวพันกันได้ทั้งโลกง่าย ๆ ด้วยเวลาอันสั้นเรื่องมันก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จนไม่อาจจะแก้ไขได้โดยลำพังคนเดียว หรือหมู่เดียว คณะเดียว หรือชาติเดียว กลายเป็นต้องสับสนวุ่นวายกันไปทั้งโลก นี่แหละคือผลของการที่เรามีสติปัญญาทำเรือบินให้เหาะไปเหาะมาที่ไหนได้ที่ไหนก็ได้ ถ้าเราไม่มีสิ่งเหล่านี้ยังอยู่กันตามประสาคนที่ต่างคนต่างอยู่มีอะไรทำก็ทำเท่าที่จำเป็นจะต้องทำ มันก็มีความสงบสุขยิ่งกว่าที่จะวิ่งไปวิ่งมาด้วยการบีบบังคับของกิเลสตัณหาซึ่งขยายออกไปกว้างขวางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โลกสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้ โลกในสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่เป็นอย่างนี้และพระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้เป็นคนอยากน้อยต้องการน้อย ไม่สะสมกิเลสไม่สะสมกองทุกข์ให้มันเพิ่มพูนมากขึ้น คนเดี๋ยวนี้เพิ่มกิเลสเพิ่มความทุกข์ อยากใหญ่ ไม่สันโดษเป็นคนเลี้ยงยาก อะไร ๆ เหล่านี้ล้วนแต่ฝืนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ความอยากใหญ่ของคนสมันนี้มีไม่มีที่สิ้นสุดกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นก็จะต้องยุ่งยากลำบากไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน การเป็นอยู่ง่ายนั้นเขาไม่พอใจเขาต้องการจะเป็นอยู่ให้มันยากขึ้นให้ลำบากมากขึ้นให้ใช้เงินมากขึ้น ถ้าทำไม่ได้ทุกวันก็พยายามเก็บหอมรอมริบไว้จะได้ทำกันสักวันหนึ่ง เช่นว่าจะบินไปเที่ยวทั่วโลกทุกวันไม่ได้ก็อุตส่าห์เก็บเงินไว้ทีละเล็กละน้อยพอครบปี สองปี สามปีก็ไปเที่ยวเมืองนอกรอบโลกเสียทีหนึ่ง อย่างนี้เป็นที่นิยมกันนักในหมู่คนสมัยนี้ แต่แล้วคิดดูเถิดว่ามันทำอะไรให้เกิดขึ้น
ถ้ามองดูกันตามหลักของพระพุทธเจ้าแล้วมีอะไรที่น่าสงสารมากทีเดียว สิ่งแรกที่สุดที่จะมองเห็นก็คือความเห็นแก่ตัว จะเก็บเงินไว้ทุกบาททุกสตางค์ให้เป็นเงินก้อนใหญ่แล้วไปถลุงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกันยกใหญ่สักวันหนึ่งเดือนหนึ่ง อย่างนี้มันเป็นการเห็นแก่ตัวมันเป็นการเพิ่มความเห็นแก่ตัว ถ้าเอาเงินจำนวนนั้นไปช่วยเหลือคนยากจนหรือทำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกที่จะคุ้มครองโลกให้สงบอย่างนี้มันก็ดีกว่าคือไม่เห็นแก่ตัว แล้วจะช่วยให้โลกนี้มีความสงบได้เร็วขึ้น ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบไว้เพราะเป็นคนจนพอถึงวันปีใหม่เป็นต้น ก็เลี้ยงกันใหญ่ เที่ยวกันใหญ่ สนุกสนานกันใหญ่ จนตายไปในวันนั้นก็มี เพราะความเมาก็มี เพราะความทะเลาะวิวาทก็มี อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบไว้เพื่อจะเที่ยวกันใหญ่ จะสนุกกันใหญ่ จะกินกันใหญ่ จะเมากันใหญ่ในวันปีใหม่เป็นต้น อย่างนี้ก็ลองคิดดูเถิดว่ามันเป็นอะไร มันเป็นกิเลสหรือเปล่า มันเป็นการกระทำของความเห็นแก่ตัว นี่ก็เพราะว่ามีความอยากใหญ่ มีความอยากที่ใหญ่ไม่มีประมาณ ไม่มีความสันโดษ ไม่มีการประพฤติเป็นไปเพื่อความสงบสุข ไม่เป็นคนเลี้ยงง่ายดังนี้เป็นต้น ซึ่งผิดจากหลักของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้
หลักพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นถ้าจะกล่าวสั้น ๆ เพียงคำเดียวแล้วก็คือความไม่เห็นแก่ตัว ไปคิดดูเถิดว่าเรื่องอะไรก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ที่เราเรียกกันว่ามีปริมาณมากมายตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น มันสรุปได้ในเรื่อง ๆ เดียวคือเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวของตัวนั้นย่อมจะเห็นแก่ตัวแล้วก็ทำตนเองให้เป็นทุกข์เพราะกิเลส ทำผู้อื่นให้พลอยเป็นทุกข์เพราะกิเลสของตัว ถ้าเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็หมายความว่าไม่มีกิเลส ความเห็นแก่ตัวนั้นทำให้เกิดความโลภ โลภอยากใหญ่ อยากอย่างที่คนในโลกทุกวันนี้อยากกันนั่นเอง อยากไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความเห็นแก่ตัวมันขยายตัว เป็นการสรุปความได้ว่าความโลภนั้นก็มาจากความเห็นแก่ตัว ทีนี้ความโกรธก็มาจากความเห็นแก่ตัวคือเมื่อไม่ได้ตามใจตัวก็โกรธ การอยากได้ตามใจตัวนั่นแหละมันเป็นความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่ได้ตามใจตัวมันก็โกรธ ไม่มีความโกรธชนิดไหนที่ไม่เกิดมาจากการที่ไม่ได้ตามใจตัว เราจึงเห็นได้ว่าความโกรธก็เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ทีนี้ความหลงหรือโมหะนั้นนั่นแหละคือตัวต้นเหตุของความเห็นแก่ตัว เพราะมันมีโมหะมีความโง่มีความหลงไม่เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงมันจึงได้เห็นแก่ตัวและของ ๆ ตัวนี้เรียกว่าโมหะ จึงสรุปความได้ว่า โลภะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี มาจากความเห็นแก่ตัว หรือเป็นความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวมันเอง เมื่อคนมีโลภะ โทสะ โมหะมากแล้วจะร้อนเป็นไฟอย่างไรข้อนี้พอจะเข้าใจกันได้
พุทธศาสนาพูดเรื่องการทำลายความเห็นแก่ตัวคือทำลายโลภะ โทสะ โมหะ หรือถ้าจะพูดสั้น ๆ ก็ทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกู พระพุทธวจนะทั้งหมดทั้งสิ้นรวมสรุปใจความแล้วก็คือสอนเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า สัพเพ ธรรมา นาลัง อภินิเวสายะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกูนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา เพราะว่าเมื่อยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูเข้าแล้วมันก็เป็นทุกข์ทันทีเพราะมีความเห็นแก่ตัวจัด มีความหิวกระหายเหมือนกับเปรตคือมีความอยากใหญ่ อยากเกินที่ควรอยากเสมอไปมันจึงเป็นความทุกข์เพราะความอยากนั้น ไม่ต้องมีอะไรมากมายมีแต่ความอยากใหญ่นี้อย่างเดียวแล้วมันก็เป็นความทุกข์แล้ว ทีนี้เมื่อกระทำไปตามอำนาจกิเลสชนิดนั้นอีกก็มีความทุกข์เพิ่มเข้ามาอีกอย่างมากมายมหาศาล ด้วยเหตุเช่นนี้แหละท่านจึงได้ตรัสไว้ว่าความยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุให้ดับทุกข์ ถ้าเราต้องการจะดับทุกข์เราก็ต้องดับความยึดมั่นถือมั่น
เดี๋ยวนี้เราโง่มากถึงขนาดที่ไม่รู้จักความยึดมั่นถือมั่น ท่านทั้งหลายทุกคนลองสำรวจตนดูให้ดี ๆ ว่าท่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นแล้วหรือยัง ดูเหมือนจะเป็นเพียงราง ๆ เลือน ๆ เป็นเงา ๆ อยู่ในความฝันเสียมากกว่าว่าความยึดมั่นถือมั่นนั้นคืออะไร ข้อนี้เพราะเหตุว่าถ้าท่านทั้งหลายรู้จักความยึดมั่นถือมั่นอย่างถูกต้องจริง ๆ แล้ว ท่านจะกลัวมันยิ่งกว่ากลัวเสือ ยิ่งกว่ากลัวผี ยิ่งกว่ากลัวตาย ยิ่งกว่ากลัวอะไร ๆ ทั้งหมด สิ่งที่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นนี่แหละน่ากลัวกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมดที่ท่านเคยกลัวอยู่แต่ท่านไม่รู้จักมันท่านก็ไม่กลัว แล้วยังเข้าใจผิดต่อมันเพราะความโง่หรือโมหะของท่าน ท่านก็เกิดรักความยึดมั่นถือมั่น ยินดีพอใจในความยึดมั่นถือมั่นเพราะว่ามันหลอกให้ท่านสบายใจให้เกิดความรู้สึกครึ้มใจเป็นสุขสนุกสนาน ไปตามความโง่ความหลงที่ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งมีความหลงมากเท่านั้น ยิ่งมีความหลงมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกครึ้มใจหรือสบายใจไปตามแบบเห็นกงจักรเป็นดอกบัวมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นในวันอันศักดิ์สิทธิ์เช่นวันนี้คือวันวิสาขบูชานี้ขอให้สำรวจความยึดมั่นถือมั่นกันให้ดี ๆ โดยถือว่ามันเป็นสิ่งที่สกปรกเศร้าหมองมากเกินไปไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจของเราผู้จะกระทำวิสาขบูชาอุทิศพระบรมศาสดาผู้มีความสะอาด สว่าง สงบถึงที่สุด เราจะทำการบูชาแก่บุคคลผู้มีความสะอาด สว่าง สงบถึงที่สุดด้วยเนื้อตัวของเราที่สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยความสกปรกเร่าร้อนและมืดมัวแห่งความเห็นแก่ตัวหรือความยึดมั่นถือมั่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า ขอให้ลองพิจารณาดูให้ดี ๆ เปรียบง่าย ๆ เหมือนอย่างว่าเรามีตัวสกปรกเหม็นเน่าแล้วจะเข้าไปหาบุคคลผู้มีความสะอาดนั้นมันคงจะเป็นไปไม่ได้ มันคงจะวิ่งหนีซึ่งกันและกันเสียมากกว่าไม่อยากจะพบจะปะกัน เย็นนี้เราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าด้วยจิตใจเราก็ต้องมีจิตใจเหมือนพระพุทธเจ้า ถ้าเรามีจิตใจเป็นคนละอย่างต่างหากจากจิตใจของพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่มีทางที่ทำได้ จะมาทำวิสาขบูชามันก็เป็นเพียงพิธีรีตองอย่างที่ลูกเด็ก ๆ เขากระทำกันมันก็น่าเวทนาน่าสงสารสำหรับคนแก่ ๆ ที่อายุมากแล้ว จึงขอชักชวนว่าเราทั้งหลายจงพยายามทำในใจให้ถูกต้องในโอกาสเช่นนี้เสียแต่บัดนี้ ค่อยคิดค่อยนึกไปทีละเรื่องละราวให้มีความเข้าใจโดยนัยยะดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น คอย ๆ ซักฟอกจิตใจให้สะอาด สว่า งสงบให้มากที่สุดเท่าที่เราจะกระทำได้ โดยการให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเสีย มีชีวิตที่บริสุทธิ์มีชีวิตที่เป็นชีวิตล้วน ๆ ปราศจากความเห็นแก่ตัว ขอให้เอาธรรมชาตินี่แหละเป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวชักจูง เดี๋ยวนี้เรามานั่งอยู่ใกล้ธรรมชาติที่สุดแล้วคือนั่งกลางพื้นดินที่นี่อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่นี้ ไม่มีอะไรนอกจากพื้นดิน ก้อนหินและต้นไม้ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวกูของกู ที่เป็นตัวกูของกูนั้นเก็บไว้ที่บ้าน ยศฐา บรรดาศักดิ์ ทรัพย์สมบัติอะไรต่าง ๆ ที่เรียกว่าตัวกูของกูนั้นเก็บไว้ที่บ้านอย่าเอามาที่นี่ ที่นี่ก็มีแต่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เราก็มีจิตใจให้เข้ากันได้กับธรรมชาติอันบริสุทธิ์นี้ ก็จะมีจิตใจคล้ายกับจิตใจของพระพุทธเจ้า คือมีความสะอาด สว่าง สงบทำนองเดียวกัน แม้ว่าจะไม่เท่ากันแต่ก็เป็นไปในลักษณะทำนองเดียวกัน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรานั่งอยู่กลางพื้นดินอย่างนี้ ถ้าเรายังมีตัวกูอยู่มันก็คงจะนั่งยากมันอยากจะนั่งบนเสื่อ มันอยากจะนั่งบนอาสนะ หรือมันอยากจะนั่งบนที่นั่งที่นอนที่สบายกว่านี้ แต่ถ้าเราไม่มีตัวกูแล้วมันก็นั่งได้นั่งกลางพื้นดินนี่แหละ
ทำไมเราจึงจะถอนตัวกูได้สักครู่หนึ่งที่นี่ในโอกาสนี้ในลักษณะอย่างนี้ คำตอบก็มีอยู่ว่าจงนึกถึงพระพุทธเจ้าให้ดี ให้ถูกต้อง ให้มากเป็นพิเศษในโอกาสนี้ คือระลึกว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางพื้นดิน ท่านตรัสรู้กลางพื้นดิน ท่านนิพพานกลางพื้นดิน ถ้าอยากจะเข้าใจให้ละเอียดไปกว่านี้ก็ไปหาอ่านดูเอาเองว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางพื้นดินอย่างไร ท่านตรัสรู้กลางพื้นดินอย่างไร ท่านนิพพานกลางพื้นดินอย่างไร
โดยย่อ ๆ เรื่องราวที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้วนั้นก็ว่าท่านประสูติที่สวนลุมพินี ไม่มีใครตั้งใจให้พระพุทธเจ้าไปประสูติ มีการประสูติที่นั่น แต่เผอิญพระพุทธมารดาได้เสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อเขากำลังเล่นนักขัตฤกษ์หักกิ่งดอกสาละกันอยู่อย่างสนุกสนานในสวนลุมพินี ได้ทรงแวะเข้าไปที่นั่นแล้วเผอิญรู้สึกจะต้องประสูติที่นั่น ก็ต้องประสูติที่นั่นซึ่งหาอะไรไม่ได้ดีไปกว่าการประสูติกลางพื้นดิน ในรูปภาพที่เขียนไว้เราก็เห็นว่ามีม่านวงเข้าพอเป็นเครื่องกำบังหน่อยหนึ่งแล้วก็ยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ประสูติ เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติแล้วก็ยังมีข้อความกล่าวว่าเสด็จไป ๗ ก้าวกลางพื้นดินมีดอกบัวผุดขึ้นมารับดังนี้ เรื่องทั้งหมดนี้มันก็เป็นเรื่องประสูติกลางพื้นดิน ทีนี้ก็มาถึงการตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั่งที่พื้นดินมีหญ้าคาที่คนตัดหญ้าเขาถวายให้เมื่อตอนกลางวันรองนั่งแต่เพียงบาง ๆ ก็ต้องเรียกว่าตรัสรู้กลางพื้นดินอยู่นั่นเอง เดี๋ยวนี้เอาไปหลงรูปเขียนที่เขียนเป็นบัลลังก์ประดับเงิน ประดับทอง ประดับเพชรสูงไม่รู้สักกี่ชั้น มีฉัตร มีมณฑป มีอะไรสารพัดอย่างก็เลยเข้าใจผิดไปว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้กลางพื้นดิน นี่ขอให้นึกกันเสียใหม่ให้ดีว่าโดยเนื้อแท้นั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กลางพื้นดินเหมือนโยคี มุนี ทั้งหลายที่ไปนั่งทำความเพียรโคนต้นไม้กลางพื้นดินแล้วก็ตรัสรู้ที่นั่น พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสรู้ที่โคนต้นไม้ที่เราเรียกกันว่าต้นโพธิ์ ใกล้ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราในเวลารุ่งอรุณแห่งวันเช่นวันนี้ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องปรินิพพาน พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานกลางพื้นดินในอุทยานแห่งหนึ่ง อุทยานต้นสาละเป็นที่เที่ยวเล่นของกษัตริย์มัลละใกล้เมืองกุสินารา แม้ว่าจะมีสิ่งรองรับก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผ้าสังฆาฏิที่ปูรองประทับนอนกลางพื้นดินและปรินิพพาน
นี่แหละลองคิดดูเถิดว่าพระพุทธเจ้าประสูติตอนกลางวันของวันเช่นวันนี้กลางพื้นดิน ตรัสรู้เมื่อรุ่งอรุณของวันเช่นวันนี้กลางพื้นดิน แล้วก็ปรินิพพานในตอนค่ำของวันเช่นวันนี้กลางพื้นดิน เราจะมาทำในใจกันง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ว่าวันเช่นวันนี้คือวันเพ็ญเดือนวิสาขะนี้ เมื่อตอนหัวรุ่งเป็นเวลาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อตอนเที่ยงวันเป็นเวลาประสูติของพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาหัวค่ำเป็นเวลาปรินิพพานของพระพุทธเจ้าในวันเช่นเดียวกันคือวันนี้ นี่ถ้าจะพิจารณาดูมันมีทางที่จะพิจารณากันได้หลายอย่าง ถ้าจะเอากันตามตัวหนังสือมันก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากว่าทำไมเหตุการณ์นี้มันมีได้ในวันเดียวกัน การประสูติ การตรัสรู้ การปรินิพพาน ถ้ามันมีได้ในวันเดียวกันมันก็น่าอัศจรรย์มาก แต่ว่าพุทธบริษัทบางพวกบางนิกายไม่ได้ถืออย่างนี้ การถือว่าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานวันเดียวกันอย่างนี้มีแต่ฝ่ายเถรวาท
ส่วนฝ่ายมหายานนั้นไม่ได้กล่าวอย่างนี้ คือกล่าวต่างวันกันเป็นของธรรมดาไป แต่ถ้าเราจะยังคงถือว่าประสูติ ตรัสรู้ นิพพานนี้เป็นไปในวันเดียวกันอย่างนี้มันก็ต้องกลายเป็นเรื่องว่าอัศจรรย์เป็นพิเศษไม่ใช่ธรรมดา ทีนี้ถ้าเราจะพูดอย่างนี้กับคนสมัยนี้ก็ยากที่ใครเขาจะเชื่อ เขาก็มีทางที่จะพูดอย่างอื่นว่านี้มันเป็นการกล่าวอย่างปาฏิหาริย์หรือกล่าวอย่างปุคคลาธิษฐาน เพราะว่าเรากล่าวอย่างปุคคลาธิษฐานอย่างอื่น ๆ นั้นก็ยังมีอีกมากมาย ว่าพระพุทธเจ้าพอประสูติออกมาก็พูดได้ เดินได้อย่างนี้มันก็เป็นปาฏิหาริย์ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นปุคคลาธิษฐานถ้าเมื่อกล่าวปุคคลาธิษฐานอย่างนั้นได้แล้วมันก็กล่าวว่า ประสูติ ตรัสรู้ นิพพานในวันเดียวกันก็ยังได้อีกนั่นเอง
ถ้าเราจะมาดูกันให้ลึกในภาษาทางธรรมะแล้ว การประสูติ การตรัสรู้ และการนิพพานนั้นเป็นของสิ่งเดียวกันเพราะว่าเล็งถึงการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าเท่านั้น การประสูติก็คือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า การตรัสรู้ก็คือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า การนิพพานอันได้แก่การทำลายกิเลสให้สิ้นไปนั้นก็คือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า การตรัสรู้กับการนิพพานนั้นเป็นของสิ่งเดียวกันอย่างยิ่ง เพราะว่าการตรัสรู้นั้นคือการทำกิเลสให้สิ้นไป นิพพานก็คือการทำกิเลสให้สิ้นไป นิพพานโดยความหมายนั้นหมายถึงความเย็นเพราะกิเลสไม่ได้มีอยู่ในขณะที่ตรัสรู้นั่นแหละกิเลสสิ้นไป ความสิ้นไปแห่งกิเลสในการตรัสรู้นั่นแหละคือการปรินิพพาน ทีนี้ถ้ามองย้อนกลับในขณะที่กิเลสสิ้นไปนั่นแหละคือการเกิดของพระพุทธเจ้า
เมื่อเป็นอย่างนี้ความสำคัญมันจึงไปรวมอยู่ที่ พุทธานะมุปปาโท การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเพียงคำเดียวเท่านั้นว่าการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้านั้นมันมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ขอแต่ให้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเท่านั้น จะเป็นการประสูติก็ตาม เป็นการตรัสรู้ก็ตาม เป็นการนิพพานก็ตามมันคือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าเท่านั้น มันก็ยังเหลือแต่การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะโดยปริยายใด เหลืออยู่เพียงการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือนวิสาขะคือในวันเช่นวันนี้ ฉะนั้นเราจึงกล่าวได้ว่าเรามีความเชื่อเต็มที่มีความแน่ใจเต็มที่ในการที่จะพูดว่า การประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานนั้นมีอยู่ในวันเดียวกันคือในวันเพ็ญเช่นวันนี้ ก็เป็นการถูกแล้วที่เราจะกล่าวเช่นนั้น เราพอใจที่จะกล่าวเช่นนั้นเพราะว่าเรามีความรู้ความเข้าใจในภาษาธรรม คือการกล่าวอย่างธรรมาธิษฐานเพ่งเล็งเอาจิตใจเป็นใหญ่ไม่เอาวัตถุร่างกายเป็นใหญ่ จึงเห็นได้ว่าการตรัสรู้ก็คือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าและคือการสิ้นไปแห่งกิเลส
เอาความตรัสรู้หรือการตรัสรู้เป็นเรื่องสำคัญเป็นสิ่งสำคัญว่าการตรัสรู้นั้นคือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า และการตรัสรู้นั้นเป็นการสิ้นไปแห่งกิเลสคือการนิพพาน เป็นอันว่าเราไม่ต้องระแวงสงสัยกันแล้วว่าจะไม่มี การประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานในวันเดียวกัน การประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานมีได้ในวันเดียวกันโดยลักษณะที่อธิบายมาดังนี้ ถ้าหากว่าคนต่างศาสนาที่ถือศาสนาอื่นเขาจะกล่าวคัดค้านในทำนองหัวเราะเยาะว่าพูดเกินความจริงไปเสียแล้ว เราก็อธิบายให้เขาฟังดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เพราะการประสูติและการตรัสรู้และการนิพพานนั้นที่แท้เป็นสิ่ง ๆ เดียวกัน หาได้มีอยู่ถึง ๓ สิ่ง ๓ อย่างตามตัวหนังสือนั้นไม่ ตัวหนังสือจะมี ๓ อย่างแต่ความหมายของมันมีแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่เขากล่าวไว้ดังนี้เป็นผู้ที่ฉลาด เขากล่าวไว้ดังนี้เพื่อให้คนมีความเชื่อมีความศรัทธามีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นทั้งคนโง่และคนฉลาด คนโง่ก็เชื่อไปอย่างอิทธิปาฏิหาริย์ คนฉลาดก็เชื่อไปในทางความหมายถูกต้องของคำเหล่านั้น เป็นอันว่ามันมีประโยชน์ทั้งคนโง่และคนฉลาด
เราก็มีความพอใจที่จะถือว่านี้เป็นความถูกต้องแล้วที่พุทธบริษัทเถรวาทเราถือกันว่าวันนี้เป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้ และเป็นวันปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย แต่แล้วอย่าลืมว่าแม้เราจะแยกเป็น ๓ อย่างก็ต้องให้ถือว่าการประสูตินี้ก็ประสูติกลางพื้นดิน การตรัสรู้นี้ก็ตรัสรู้กลางพื้นดิน การนิพพานก็นิพพานกลางพื้นดิน เดี๋ยวนี้เราทั้งหลายก็มานั่งอยู่กลางพื้นดินให้ใกล้ชิดให้เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ทรงเสพครบเป็นอันมากคือชีวิตที่เป็นอยู่กลางพื้นดิน ขออย่าได้เข้าใจว่าเพียงแต่ท่านประสูติกลางพื้นดิน ตรัสรู้กลางพื้นดิน นิพพานกลางพื้นดิน ขอให้เข้าใจถูกต้องว่าตลอดเวลาส่วนมากในพระชนม์ชีพนั้นก็ประทับอยู่กลางพื้นดินเป็นส่วนใหญ่ จะเที่ยวไปที่นั่นเที่ยวไปที่นี่ พักอยู่ที่นั่นพักอยู่ที่นี่ส่วนมากก็กลางพื้นดิน เพราะว่าการเป็นอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้านั้นเป็นอยู่กันอย่างง่าย ๆ ไม่เหมือนสมัยนี้ พระพุทธเจ้าไปไหนท่านก็เสด็จไปด้วยพระบาทไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำไป คนสมัยนี้ขี่รถยนต์ ขี่รถไฟ ขี่เรือบิน คิดดูเถิดว่ามันต่างกันอย่างไร แม้ที่สุดแต่ท่านจะประทับนั่งนอนส่วนใหญ่ก็ประทับกลางพื้นดิน
ถ้าเราจะไปดูกุฏิที่พระพุทธเจ้าเคยประทับที่ว่าเหลืออยู่เป็นซากที่เขาเชื่อกันว่าเป็นพระคันธกุฏีนั้นก็เห็นได้ว่าท่านประทับกลางพื้นดิน จะมีเตียงมีตั่งเตี้ย ๆ บาง ๆ รองนั้นมันไม่สำคัญอะไร มันก็เหมือนกับอยู่บ้านพื้นดิน อยู่เรือนที่เป็นพื้นดินอยู่นั่นเอง ทีนี้เมื่อเสด็จออกนอกจากสถานที่แล้วก็ยิ่งที่จะต้องประทับกลางพื้นดินมากยิ่งขึ้นไปอีก และในบรรดาพระพุทธวจนะทั้งหลาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นสูตรเป็นอันมากหรือแทบทั้งหมดพระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสาวกทั้งหลายกลางพื้นดิน นี่ขอให้คิดเถิดว่าพระพุทธเจ้าท่านก็มีชีวิตอยู่กลางพื้นดิน พระธรรมคำสอนที่ได้ตรัสออกมานั้นก็ส่วนมากก็ตรัสกลางพื้นดิน พระสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในสมัยนั้น ส่วนใหญ่ก็อยู่มีชีวิตอยู่แทบพื้นดินเหมือนกับพระพุทธเจ้านั่นเอง ดูไปดูมาก็จะเห็นได้ว่ากลางพื้นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ประเสริฐที่สุดสำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับการประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพาน
ขอให้ท่านทั้งหลายมีความพอใจเถิดว่าเดี๋ยวนี้เราก็ได้มานั่งอยู่กลางพื้นดินและเราจะเดินเวียนประทักษิณบนพื้นดิน ไม่มีรองเท้าไม่มีอะไรรอง ให้มันเกิดความรู้สึกในจิตใจเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านมี พระพุทธเจ้าดำเนินพระบาทเปล่าโดยแผ่นดิน โดยบนแผ่นดินมีความรู้สึกเป็นอย่างไร เรามัวแต่สวมรองเท้าเราก็รู้ไม่ได้ เราก็ถอดรองเท้าออกเสียแล้วก็เดินไปบนพื้นดินดูบ้างแล้วก็จะรู้น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้าว่า ท่านรู้สึกอย่างไร ท่านอดทนอย่างไร ท่านเข้มแข็งอย่างไร และท่านเห็นแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอย่างไร ในการที่เสด็จดำเนินพระบาทเปล่าไปเมืองนั้นเมืองนี้เมืองโน้นเพื่อสอนคน นี่แหละเรามัวแต่สวมรองเท้า มัวแต่ขึ้นรถยนต์ มัวแต่ขึ้นรถไฟ มัวแต่ขึ้นเรือบินอยู่อย่างนี้ มันก็มีจิตใจเหินห่างจากการที่จะรู้จักพระพุทธเจ้า แต่เอาเถิดอย่างไรก็ดีในวันเช่นวันนี้และโอกาสอันเล็กน้อยนี้ขอให้เราสลัดสิ่งเหล่านั้นออกไปเสียให้พ้นเพื่อเตรียมจิตใจของเราให้เหมาะสมที่จะกระทำวิสาขบูชา บูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นโดยแท้จริงเถิด
การบูชานั้นโดยส่วนใหญ่มีอยู่ ๒ อย่างด้วยกันคือบูชาด้วยสิ่งของวัตถุต่าง ๆ กับบูชาด้วยเรี่ยวด้วยแรงด้วยเลือดด้วยเนื้อด้วยเหงื่อด้วยการกระทำนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง การบูชาอย่างแรกนั้นเรียกว่าอามิสบูชาพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญส่วนการบูชาอย่างหลังนั้นเรียกว่าปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ แต่วันนี้เราจะทำให้ครบทั้ง ๒ อย่าง เรามีดอกไม้ธูปเทียนถืออยู่ในมือและมีอื่น ๆ ด้วยก็ได้เรียกว่าอามิสบูชาเราก็ทำ และเราจะเดินเท้าเปล่าเวียนประทักษิณให้มีความรู้สำนึกต่อความรู้สึกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นอยู่กลางพื้นดินไม่สวมรองเท้านั้นอันนี้ก็จะเป็นปฏิบัติบูชาอีกอย่างหนึ่ง เราเลยได้ครบทั้ง ๒ อย่างคือ ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาสำหรับทำวิสาขบูชาในวันนี้ในโอกาสนี้
ขอท่านทั้งหลายจงเตรียมจิตใจอย่างนี้ มีความกล้าหาญที่จะกระทำจะได้รู้สึกด้วยจิตใจจริงว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไรแล้วจะได้เป็นการบูชาที่แท้จริงเป็นพิธีที่ถูกต้องไม่เป็นรีตองเหมือนลูกเด็ก ๆ เขากระทำกันทั่ว ๆ ไปอย่างสรวลเสเฮฮา แม้ในการเวียนวิสาขบูชาก็ยังมีการสรวลเสเฮฮามีจิตใจอันฟุ้งซ่าน บางทีก็มีกิเลสเกิดขึ้นหลายอย่างหลายประการในขณะที่ทำการบูชานั่นเอง เราจงป้องกันให้ดีระวังให้ดีปัดเป่าออกไปให้หมดไม่ให้มีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่ในใจ กระทำในใจว่าเราจะมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ เหมือนพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้าในส่วนนี้คือส่วนจิตใจอันลึกซึ้งหรือดวงวิญญาณของเรา ทีนี้ก็จะมีการเสียสละที่จะเป็นความยากลำบากใด ๆ ก็ตาม เพื่อเป็นการบูชาด้วยร่างกายเลือดเนื้อของเรา และยังจะบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนซึ่งเป็นวัตถุภายนอกอีกด้วย
บูชาด้วยวัตถุภายนอกก็บูชา บูชาด้วยการกระทำ ด้วยเลือดด้วยเนื้อก็บูชา บูชาด้วยคุณธรรมที่เราทำจิตใจให้เหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้าเท่าที่เราจะทำได้นี้เราก็บูชา นี้เห็นได้ว่ามันเป็นการบูชาที่สุดความสามารถของเราแล้ว ขอให้กระทำอย่างครบถ้วนและสุดความสามารถดังนี้เถิด โอกาสต่อนี้ไปก็จะได้กระทำวิสาขบูชาด้วยการเวียนประทักษิณเป็นลำดับไป ที่กล่าวนี้เป็นการเตือนให้เตรียมจิตเตรียมใจให้มีความเหมาะสมที่จะกระทำวิสาขบูชานั้น อย่าได้ทำอย่างละเมอเพ้อฝัน อย่าได้กระทำอย่างงมงาย อย่ากระทำไปด้วยความสนุกสนานเหมือนลูกเด็ก ๆ เพราะว่าเราได้อุตส่าห์พยายามถ่อร่างขึ้นมาบนยอดภูเขานี้ มันก็ไม่ค่อยสนุกอยู่แล้วสำหรับคนแก่ ๆ แต่ขอให้ถือว่าที่อุตส่าห์ถ่อร่างขึ้นมาด้วยความยากลำบากถึงยอดภูเขานี้ก็เป็นการบูชาด้วยเหมือนกัน ความลำบากใด ๆ ที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ก็จะกลายเป็นของบูชาไปหมด นี่แหละเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความประมาท เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความงมงายในการที่จะกระทำวิสาขบูชา เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์เดินทางมาแต่ที่ไกลจากจังหวัดไกลก็มีอยู่เป็นอันมาก จงอย่าได้เสียทีที่อุตส่าห์ถ่อร่างกายมาจนถึงที่นี่ จนถึงยอดภูเขานี้จงมีจิตใจอย่างนี้ แล้วกระทำวิสาขบูชาให้ถูกต้องตรงตามความหมายดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นทุก ๆ ประการเถิด สำนึกในพระคุณว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ มีจิตใจสะอาดหมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง มีความสงบเย็นไม่มีความทุกข์เลย พระองค์เป็น
สัมมา สัมพุทโธ สว่างเอง รู้เอง อย่างถูกต้องครบถ้วน
วิชชาจะระณะสัมปันโน พระองค์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะคือมีทั้งความรู้และการกระทำ
พระองค์เป็นสุคะโต เสด็จมาดีในโลกนี้ เสด็จไปดี ในที่ไหน ๆ ทุกหนทุกแห่งเพื่อจะโปรดเขาให้พ้นจากกองทุกข์
โลกะวิทู พระองค์เป็นผู้รู้แจ้งสิ่งทั้งปวงในโลก ดังนั้นจึงสามารถจะช่วยโลกให้รอดพ้นได้
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึกอย่างไม่มีใครจะยิ่งไปกว่าพระองค์
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สมควรที่จะเรียกได้ว่าเป็นครูทั้งของเทวดาแลมนุษย์
พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ภะคะวา เป็นผู้มีพระธรรมแล้วก็แจกพระธรรมไม่ได้หวงแหนไว้แต่ผู้เดียวดังนี้
มีจิตใจแจ่มใสมีจิตใจสว่างอยู่ในพระคุณเหล่านี้แล้วกระทำวิสาขบูชาเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (นาทีที่ 1:19:47, สวดมนต์)