PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่21/ตัวกูกับจริตของตัวกู
อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่ ... รูปภาพ 1
  • Title
    อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่21/ตัวกูกับจริตของตัวกู
  • เสียง
  • 2935 อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่21/ตัวกูกับจริตของตัวกู /buddhadasa/2513-20-2.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอาทิตย์, 22 มีนาคม 2563
ชุด
อบรมพระหน้าโรงหนัง ชุดธรรมปาฎิโมกข์
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ธรรมปาฏิโมกข์วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๓ วันนี้จะได้พูดถึงเรื่อง “ตัวกูกับจริตของตัวกู” ดังที่ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่าธรรมปาฏิโมกข์นี้ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเกี่ยวกับ “ตัวกู” ซึ่งมีมาก  หากพูดกันจนตายก็ได้ไม่มีจบ  ดังที่ได้เคยบอกมาแล้วว่าทุกเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับ “ตัวกู” ไม่ว่าเรื่องอะไรในพระพุทธศาสนานี้  เรื่องกิเลส, เรื่องความทุกข์ทั้งหมดมาจาก “ตัวกู” เรื่องปฏิบัติดับกิเลส, ดับทุกข์ทั้งหมดมันคือดับ “ตัวกู”  เพราะฉะนั้นทุกเรื่องจึงเกี่ยวกับ “ตัวกู”  หากแต่ว่ากล่าวไว้โดยปริยายใดปริยายหนึ่งทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ หรือจะมากกว่านั้นก็ได้  จึงเรียกว่าพูดกันจนตายก็ไม่จบสำหรับเรื่อง ตัวกู-ของกู ในแง่เกิดก็ได้-ในแง่ดับก็ได้ 

    ส่วนวันนี้จะได้พูดโดยหัวข้อว่า “ตัวกูกับจริตของตัวกู” เพื่ออธิบายเรื่องต่าง ๆ ที่ได้พูดไปแล้วในคราวก่อน ๆ นั้นให้ชัดเจนออกไปตามลำดับ  สิ่งที่เรียกว่า “ตัวกู” คืออะไร ? เราพูดกันอย่างละเอียดลออมาแล้วหลายครั้งหรือหลายสิบครั้ง  โดยสรุปแล้วก็หมายถึงความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมาในขณะที่เรามันโง่ไป  เป็นความรู้สึกสำคัญมั่นหมายอย่างใดอย่างหนึ่งในลักษณะที่เป็น “ตัวกู”  เป็น “ของกู”  มันก็มีความทุกข์  นี่คือ “ตัวกู”  โดยเนื้อแท้ก็หมายถึงความคิดปรุงแต่งที่ผลุนผลันเกิดขึ้นมาด้วยความโง่  ไม่ได้หมายถึงเนื้อหนังร่างกาย  เนื้อหนังร่างกายนี้เป็นเปลือกอย่าไปโทษมัน  ต้องไปโทษที่จิตที่มันโง่ประกอบด้วยความโง่ปรุงเป็นจิตที่ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาแม้ว่ามันจะอยู่ในร่างกาย  ไอ้ร่างกายมันก็ไม่รู้ไม่ชี้เป็นเพียงเปลือกอยู่นั่น  ความผิด, ความชั่ว, ความทุกข์อะไรมันก็อยู่ที่ความคิดหรือความรู้สึกของจิต  ฉะนั้นขอให้จำไว้ให้เป็นหลักตลอดกาลว่าไอ้ “ตัวกู” นี่หมายถึงความคิดหรือจิต  โดยนึกเอารูปภาพฝาผนังภาพหนึ่งที่เขียนไว้ว่า แม่น้ำคด น้ำไม่ได้คด  แม่น้ำกับน้ำนั่นมันคนละอันกัน  แม่น้ำมันคดได้แต่น้ำมันคดไม่ได้  เพราะฉะนั้นจิตนี่ที่มันคดได้แต่ร่างกายนี่มันคดไม่ได้และก็ไม่ตรงด้วยไม่อะไรด้วย  ไม่ควรจะเรียกว่าอะไรด้วย  เมื่อใดจิตมีความรู้สึกไปในลักษณะที่มีความหมายเป็น “ตัวฉัน”, เป็น “ของฉัน” ด้วยความโง่นี้คือ “ตัวกู”  ทีนี้ถ้าเราพูดกันรวม ๆ ตามประสา  ตามภาษาหรือตามประสาที่พูดกันอยู่นี้ก็เรียกว่ารวมหมดทั้งคนเลย เช่น นาย ก นี้ก็เป็นทั้งหมด ทั้งกายทั้งใจ  ตัวนาย ก นั้นที่แท้ก็คือจิตและความคิดนึกของคน ๆ นั้นซึ่งมันบันดาลให้ร่างกายกระทำไปตามความคิดความนึกนั้น  ที่จริงร่างกายไม่ควรจะรับผิดชอบ  แต่เนื่องจากว่ามันเป็นเปลือกพอถูกอะไรกระทบกระเทือนมันก็ถูกที่ร่างกายก่อนแล้วมันก็จึงส่งไปให้ที่จิตใจ

    ทีนี้ตัวกูก็เลยหมายความว่าคน ๆ หนึ่งก็แล้วกันกับจริตของเขา  เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องจริต  เพราะเรื่อง “ตัวกู” นี้ก็พูดกันมาเรื่อย  วันนี้เรื่องจริตของ “ตัวกู”

    คำว่า “จริต” ในลักษณะอย่างนี้หมายถึงนิสัย  ทำไมจึงเรียกว่าจริตก็เพราะว่าคือการประพฤติมาจนชิน  คำว่า “จริต” นี้ก็แปลว่าประพฤติแล้ว...ประพฤติแล้วจนเป็นนิสัย, จนชินเป็นนิสัย, จนแสดงออกมาว่า คนนั้นมีจริตหรือมีนิสัยอย่างไร  สิ่งที่เรียกว่าจริตนี้ตามหลักที่เราศึกษากันอยู่ก็แจกไว้เป็น ๖ ชนิด  เป็นเรื่องที่กล่าวเอาไว้ในหนังสือวิสุทธิมรรคไม่พบในบาลีโดยตรง  แต่แม้เป็นเรื่องในหนังสือชั้นวิสุทธิมรรคคือหนังสือชั้นหลังนี่ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล ไม่ขัด แล้วก็รับมาศึกษามีประโยชน์ได้  แล้วก็ถือเป็นหลักที่ศึกษากันทั่วไปหมดโดยเฉพาะในวงของผู้ปฏิบัติกรรมฐานก็ต้องรู้เรื่องจริตที่ว่าแบ่งไว้ ๖ ชนิด  ก็คือราคะจริต,   โทสจริต, โมหะจริต  ๓ อย่าง  แล้วก็มีวิตกจริต, สัทธาจริต, พุทธิจริต  เพิ่มออกไปจากกิเลส ๓ ชนิดที่เราเคยรู้กันอยู่แล้ว

    (๑) ราคะจริต  ก็คือจริตที่หนักไปทางราคะ (๒) โทสะจริต ก็ไปทางโทสะ (๓)โมหะจริต ก็ไปทางโมหะ  ทีนี้ (๔) วิตกจริต คือคิด ๆ มาก  ใช้คำว่าคิดมากดีกว่า  ทีนี้ (๕) สัทธาจริต ก็คือเชื่อง่าย (๖) พุทธิจริต ก็แปลว่ารักรู้, อวดรู้, ชอบรู้อะไรก็ตาม  เราต้องรู้เสียก่อนว่าแม้จะได้แบ่งเป็น ๖ จริตอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าคน ๆ หนึ่งจะมีจริตใดจริตหนึ่งแต่เพียงจริตเดียว  คน ๆ หนึ่งมีได้ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ จริตก็ได้  แต่ถ้าอันใดมันขึ้นหน้าอันนั้นมันก็ต้องเอาอันนั้นเป็นหลัก  คือพูดได้เลยว่าคนหนึ่งมีครบทั้ง ๖ จริต  บางทีก็มีราคะ, บางทีก็มีโทสะ, โมหะ, บางทีก็ชอบคิด, บางทีก็เชื่อง่าย, บางทีก็อยากรู้-นักรู้  แต่มันไม่หนักออกหน้ามาพร้อม ๆ หรือเท่า ๆ กันทั้ง ๖ จริต  มันก็จะมีจริตใดจริตหนึ่งออกมาข้างหน้า  ก็เลยถือว่าคนนั้นมีจริตอันนั้น ๆ นี่คือกฎเกณฑ์ง่าย ๆ ทั่ว ๆ ไป เกี่ยวกับจริต 

    ทีนี้ “ตัวกู” ของใครมันมีจริตอันไหน ? ก็ต้องดูสิว่าอะไรมันออกหน้า  ซึ่งคนนั้นจะต้องทราบได้ดีกว่าคนอื่น  มันเป็นเรื่องทางจิตใจ  คนอื่นต้องดูนานมากถึงจะรู้ว่าคนนี้มันมีจริตอะไร  แต่ตัวเองนั้นรู้ได้ง่าย  สำหรับราคะจริตก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศตรงกันข้ามหรือการได้รับบำเรอขับกล่อมทางอายตนะ ; ทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางกายนี้มันชอบมาก  มันก็เรียกว่าราคะจริต  เข้าใจได้ง่ายและก็รู้จักกันได้ดีทุกคนด้วย  ทีนี้โทสะจริตคือมันโกรธง่าย  เป็นฟืนเป็นไฟง่าย  ทีนี้โมหะจริตนี่เข้าใจยาก  โมหะจริตนะ  คำว่าโมหะในที่นี้มันไม่ค่อยเหมือนกับโมหะในที่อื่น  โมหะในที่นี้มันหมายถึงซึม ๆ เฉย ๆ ซึม ๆ อะไรก็ได้อย่างนั้นนะ  คือว่าไม่ ๆ หนักไปทางราคะหรือโทสะนี่มันกลายเป็นทึม ๆ ไปก็เรียกว่าโมหะจริตของคนนั้น  ทีนี้ วิตกจริตมันก็มีอะไรทำให้เขาเป็นคนคิดเก่ง  เลยชอบคิดมาแต่เล็ก  มันก็เลยติดนิสัยเป็นคนคิดเก่งหรือคิดมากเกินกว่าที่จำเป็นไปเลย  สำหรับสัทธามันก็...เราก็สังเกตได้ว่าบางคนนั้นมันเชื่อง่าย  เพราะมันไม่มีปัญญา  มันเชื่อง่าย  ส่วนพุทธิจริตมันตรงกันข้าม ; มันมีปัญญามาก  มันเชื่อยาก

    ฉะนั้นเราจะแยกไอ้ ๖ อย่างนี้ออกให้เป็น ๒ พวก  คือพวกที่มันไวหรือมันฟุ้งซ่านเก่งนี้ก็คล้ายกับ dynamic นี่พวกหนึ่ง  แล้วก็พวกที่มันอืดคือเนือยคล้ายกับ static  นี่มันก็อีกพวกหนึ่ง  แล้วก็จะเห็นทันทีว่าไอ้ราคะ, ไอ้โทสะ, ไอ้วิตก, พุทธิ นี้คือพวก dynamic เกิดง่าย, เกิดเร็ว, ฟุ้งซ่าน  ทีนี้ส่วนโมหะจริตกับสัทธาจริตนี่มันอืดหรือเนือยก็เลยแบ่งได้ง่าย  แบ่งคนได้ง่ายขึ้น  คือว่าเป็นคนฉุนเฉียวหรือว่าเป็นคนเนือย ๆ ถ้าคนฉุนเฉียวมันก็อยู่ในกลุ่มแรก  ราคะจริต, โทสะจริต, วิตกจริต, พุทธิจริต  ไอ้คนที่เนือย ๆ ช้าต่อความรู้สึก ไม่ค่อยเคลื่อนไม่ค่อยไหวนี่ก็เป็นพวกโมหะจริต  สัทธาจริต  

    ทีนี้พวกเราที่นั่งกันอยู่ที่นี่ก็คงอยู่ใน ๒ กลุ่มนี้ละกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  ไปรู้เอาเองก็แล้วกันระบุเดี๋ยวก็จะโกรธ  ผมสังเกตเห็นนะพอจะระบุได้แต่ว่าไม่จำเป็น  ตัวเองไปรู้ตัวเองก็แล้วกัน  ประเภทราคะจริต, โทสจริต, วิตกจริต, พุทธิจริตนี้มันไปด้วยกันได้  พวกไว, พวกเร็ว, พวกฟุ้งซ่าน ซึ่งมักจะมากกว่าพวกที่ ๒  ในโลกนี้ก็จะพูดได้ว่าพวกที่ ๑ มันมากกว่าพวกที่ ๒ ซึ่งเป็นโมหะจริต, สัทธาจริต  ยิ่งสมัยนี้การศึกษามันก้าวหน้าด้วยแล้วมันก็ส่งเสริมอย่างพวกแรก  ถ้าเป็นสมัยโบรมโบราณสมัยอายุหินไอ้พวกหลังจะมาก  คือพวกอืด ๆ เนือย ๆ จะมีมาก  เดี๋ยวนี้แม้แต่เด็กที่เกิดในป่ามันก็ไม่ค่อยผิดกับเด็กที่เกิดในกรุงเสียแล้ว  ทีนี้ถ้าเราอยากจะศึกษาโดยรายละเอียดให้มีประโยชน์มากขึ้นไปอีก  เราก็จะมองเห็นได้เป็น ๒ พวกอย่างนี้  เป็น ๒ พวกอย่างนี้เสมอ  จริตพวกรวดเร็ว คือ ราคะ, โทสะ, วิตก, พุทธิ นี้มันก็มีลักษณะส่วนใหญ่คือว่ามันบังคับหรือควบคุมยาก  ทีนี้พวกที่ ๒ มันก็ตรงกันข้าม  สัทธาจริต, โมหะจริต นี่มันชักจะหยุดเสียเองแล้ว  มันจะหยุดนิ่งเสียเองอยู่แล้วจะบังคับอะไรมัน  ส่วนพวกที่ ๑ มันฟุ้งซ่านรวดเร็วมันก็บังคับยากนี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น  ถ้าจะทำการฝึกฝนจิตทำวิปัสสนา  ทำกรรมฐาน  มันก็เห็นได้ชัดว่าไอ้พวกที่ ๑ นี่เป็นพวกที่มีจิตที่บังคับได้ยากมันก็ทำวิปัสสนาทำกรรมฐานได้ยาก  พวกที่ ๒ ก็ได้เปรียบคือทำได้ง่ายแต่ผลจะเป็นอย่างไรนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ  นี่มันพูดแต่เรื่องง่ายเรื่องยากนะ

    ลักษณะของพวกที่ ๑ ควบคุมยาก  อันนี้มันก็มาจากไอ้ที่มีการศึกษามาก  พวกที่ ๒ มันมีการศึกษาน้อย  เพราะฉะนั้นพวกที่ ๑ วิตกจริต, พุทธิจริตนี้ มันคือจริตที่อยากรู้ อยากเรียน อยากศึกษา  ไม่ให้ศึกษามันก็คิดเอาเองคือวิตกจริต  ที่มันมัวเมาในการศึกษาก็เป็นพุทธิจริต  แล้วมันก็มีการศึกษามากมันเป็นธรรมดา  ทีนี้พวกสัทธาจริต, โมหะจริต  โมหะมันก็ไม่ชวนให้ศึกษา  ไอ้สัทธามันก็เชื่อว่าพอแล้ว พอแล้ว  มันก็มีการศึกษาน้อย-พวกที่ ๒  ไอ้พวกที่ ๑มันก็มีประสบการณ์มากเพราะมันไม่อยู่สุข, มันขวนขวาย, มันทะเยอทะยาน, มันฟุ้งซ่าน, มันคิดนึก, มันก็เลยทำให้มีประสบการณ์มาก  พวกที่ ๒ มันก็มีน้อยนี่มันตรงกันข้ามเสมอไป  อย่างนี้พวกที่ ๑ ก็คิดเก่ง  พวกที่ ๒ ก็คิดไม่เก่ง  พวกที่ ๑ ก็นอนหลับยาก  พวกที่ ๒ ก็นอนหลับง่าย  คุณจำเอาไว้ว่ามันตรงกันข้ามเสมอไป  พวกที่ ๑ มันก็ฝันง่าย  ฝันเลื่อนเปื้อนไปได้  พอร่างกายผิดปรกตินิดหน่อยมันก็ฝันเลื่อนเปื้อนไปได้  ไม่มีหยุดจนรุ่งก็ได้  พวกที่ ๒ มันก็ฝันยาก  ใครจะดีกว่าใคร  คุณคอยสังเกตดูต่อไปไอ้พวกที่มีความรู้มาก, ความคิดมาก, การศึกษามากมันก็ชินแต่การคิด-การนึก  มันชินเป็นนิสัย  ทีนี้มันก็ควบคุมยาก  นอนหลับยาก  พอร่างกายผิดปรกตินิดหน่อย เช่น ไม่สบายนิดหน่อยนะมันจะคิดของมันเองโดยไม่มีเจตนา  ครึ่งฝันครึ่งคิดไปอย่างนั้นนะจนตลอดเวลาก็ได้  เพราะมันมีความเคยชินเหลือประมาณในการคิด การนึก การอะไร  ส่วนอีกพวกหนึ่งมันก็ไม่ค่อยมีปัญหาอย่างนี้  มันก็หลับได้ง่าย แม้จะมีอาการมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างเดียวกัน

    ทีนี้มันก็เนื่องมาถึงร่างกายได้ด้วย  เมื่อคิดมากก็คือใช้สมองมาก  แล้วสมองของใครจะชำรุดเร็วกว่ากัน  สมองของใครจะมีเส้นโลหิตแตกได้ง่ายและเป็นอัมพาตง่าย-มันก็ไอ้พวกที่ ๑ โดยส่วนใหญ่มันต้องเป็นพวกที่ ๑ พวกที่ ๒ นอนหลับง่าย  สมองไม่ถูกทรมานมาก  เส้นโลหิตแตกยากก็เป็นอัมพาตได้ยาก  ทั้งความดันสูงหรือว่าโรคอื่น ๆ ที่มันเนื่องมาจากความดันสูงมันก็มีน้อย  ส่วนกลุ่มที่ ๑ ก็มีมาก

    ทีนี้พูดถึงคดโกง  คุณทายเอาเองก็ได้พวกไหนจะคดโกงเก่ง  เป็นคนคด ๆ งอ ๆ หรือเป็นคนโกง  เป็นคนฉลาดแกมโกงกระทั่งโกงที่สุดเลย  ไอ้พวกไหนมันจะโกงได้เก่งมันก็คือกลุ่มที่ ๑ ซึ่งสมองมันเฟื่อง  ส่วนกลุ่มที่ ๒ ก็คดโกงยาก, ทำได้ยาก, ทำไม่ค่อยเป็น, คิดไม่ค่อยเป็น, มันโง่  นี่มันแสดงออกมาทางร่างกาย, ทางการประพฤติ, ทางการกระทำอย่างนี้  จริต ๒ กลุ่มนี้มาในลักษณะที่ตรงกันข้ามเป็นคู่กันอย่างนี้

    คิดดูต่อไปถึงจะมาทำสมาธิกันแล้ว  จะปฏิบัติสมาธิไอ้พวกที่ ๑ ก็ทำยากบางทีทำไม่ได้เลย  ไอ้พวกที่จริตหมวดที่ ๑ ไอ้ประเภทที่ ๑ ราคะ, โทสะ, วิตก, พุทธิ นี่จิตเป็นสมาธิได้โดยยากหรือบางทีไม่ประสบความสำเร็จต้องยกเลิก  ทำโดยวิธีอื่น  ไม่ไปเอาดีกับสมาธิ  ส่วนกลุ่มที่ ๒ มันก็ทำสมาธิได้โดยง่าย  พวกสัทธาจริตโดยเฉพาะนี้หรือพวกโมหะจริตก็เถอะ  ทำสมาธิได้ง่ายกว่าพวกที่ฉลาดเฉลียว, ฟุ้งซ่านเก่ง 

    ทีนี้พอขึ้นมาถึงขั้นปัญญา  นี่ก็ได้เปรียบพวกที่ ๑ พวกที่ ๑ มีปัญญาได้ง่าย  พวกที่ ๒ มีปัญญาได้ยาก  ทีนี้ท้ายสุดผลของการปฏิบัติพวกแรกกลุ่มแรกกลุ่มที่ ๑ ก็...มันก็เอียงไปทางปฏิสัมภิทา  มีความรู้ที่แตกฉาน  ถ้าประสบความสำเร็จนะ  ผลสำเร็จนั้นมันเอียงไปทางปฏิสัมภิทา  นอกจากจะหมดกิเลสแล้วมันยังมีไอ้ความรู้ต่าง ๆ สารพัดอย่างแตกฉาน  ไอ้ส่วนพวกที่ ๒ ก็จะเอียงไปทางสุกขวิปัสสก  เรียกว่าไปอย่างแห้งแล้ง, ดับทุกข์อย่างแห้งแล้ง, หมดกิเลสอย่างแห้งแล้ง  คำว่า “สุกข” นี่แปลว่าแห้ง  มันต่างกันอยู่อย่างนี้คือตรงกันข้ามกันอยู่อย่างนี้เสมอไป  ไม่ต้องมีใครหรือไม่มีเทวดาไหนมาเกี่ยวข้องมันก็เป็นไปตามจริตของมัน

    ที่พูดนี้ก็หมายความว่าเรามีหลักว่าจะต้องรู้จักตัวเองก่อนจะทำอะไรก็ตาม  ถ้าแม้จะปฏิบัติธรรมะโดยเฉพาะนี่ก็ต้องมีการรู้จักตัวเองที่เพียงพอเสียก่อนไม่เช่นนั้นมันก็ทำไม่ได้  ถ้าทำก็ทำอย่างงมงายเหมือนที่ทำ ๆ กันโดยมาก  ทำอย่างงมงาย  ตัวเองก็ไม่รู้จัก  ไม่รู้จักจริตนิสัยของตัวว่าเป็นอยู่อย่างไร  ก็คือไม่รู้จักกิเลสของตัว  ทั้งที่ตัวเองนั่นละคือกิเลส  กิเลสนั่นก็คือตัวเอง-มันก็ไม่รู้จัก 

    ฉะนั้นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีมากที่สุด  คือเรื่องให้รู้จักตัวเองจนกระทั่งสามารถตักเตือนตัวเอง, แก้ไขตัวเอง, ทำที่พึ่งให้แก่ตัวเอง  นี่ทำตัวเองให้หลุดพ้นไปได้  เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่จะต้องกระทำก็จะต้องรู้จักตัวเอง  ทีนี้คนมันโง่มันไม่มองตัวเอง  ไปมองแต่เรื่องของคนอื่น  จะหาแฟนนี่ไปมองแต่แฟน  มันก็ไม่มองตัวเองว่าเป็นอย่างไร  บ้าบออย่างไรก็ไม่มอง  นี่เป็นเรื่องต่ำที่สุด  เรื่องเลวที่สุดนะ  ทีนี้จะทำการงาน จะสังคม จะทำอะไรอันอื่นที่มันสูงขึ้นไปมันก็ต้องมองตัวเองก่อนเสมอ  เราเป็นอย่างไร, เรามีอะไรเท่าไร, เราควรจะทำอย่างไร  กระทั่งเราควรจะประกอบอาชีพอะไร  เราควรจะดำรงชีวิตอย่างไรนี้มันก็เรื่องมองตัวเอง  เรื่องมองตัวเอง  ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าอาศัยหลักต่าง ๆ ที่ท่านวางไว้ เช่น เรื่องจริต ๖ ประการนี้  เพราะ(ฉะ)นั้นจึงเอามาพูดมันเกี่ยวกับ “ตัวกู” ในฐานะที่มันเป็นทรัพย์สมบัติของ “ตัวกู” คือเป็น “ของกู”  หมายความว่าจิตมันประกอบอยู่ด้วยจริต ๖ นี้  แล้วก็มีจริตใดจริตหนึ่งนำหน้าซึ่งเป็นปัญหาหนักกว่าอันอื่น

    ฉะนั้นคนที่จะแก้ไขจริตของตัวนี่ก็ต้องทำอย่างที่เรียกว่าให้สาสม  เกลือจิ้มเกลือหรือฟันต่อฟัน  ตาต่อตาให้มันสาสมเพื่อจะแก้ไขจริตอันนั้นโดยเฉพาะ  ส่วนอันอื่น ๆ ก็ทำไปตามสะดวกแต่ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่าไอ้เรื่องแก้ไขชนิดฟันต่อฟัน, ตาต่อตา, เกลือจิ้มเกลือนี้ไม่ใช่ทำอย่างโง่ ๆ ต้องทำอย่างฉลาด  ไม่ใช่ทำอย่างที่คนโบราณเขาเรียกว่าหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่าอะไรทำนองนั้นมันทำไม่ได้  มันต้องมีอะไรที่ฉลาดพอ จึงจะไปนั่นมันได้  เดี๋ยวนี้พูดคล้าย ๆ ว่าเป็นคน ๒ คนขึ้นมาแล้ว  ในร่างกายนี้คือคนที่จะฝึกคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นคนถูกฝึก  ถ้าพูดอย่างสมมติก็เป็นอย่างนั้น  ทีนี้มันจะเป็นไปไม่ได้ที่ว่าในร่างกายนี้จะมีคน ๒ คน  มันก็คือมีจิตหรือมีความรู้สึก ๒ ชนิด  อันไหนมาก่อน, อันไหนมาหลัง, อันไหนมาช้า, อันไหนมาเร็ว, อันไหนมามาก, อันไหนมาน้อย  นี่นั่นละมันก็จะเป็นอิทธิพลที่จะครอบงำหรือแก้ไขอันที่มาน้อย, มาช้า  เพราะสิ่งนี้ก็คือสติสัมปชัญญะ  ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครรับผิดชอบ  นี่ร่างกายและจิตใจนี้มันก็ยังมีกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง, มีรูปร่างของมันเอง, มีความรู้สึกคิดนึกขึ้นมาเอง รู้สึกหลาบ รู้สึกจำขึ้นมาเอง รู้จักไอ้เกลียดความทุกข์  ประสงค์ความไม่ทุกข์ขึ้นมาเอง  มันก็เลยเป็นเรื่องของจิตและความคิดนึกความรู้สึกของจิต  เพราะจิตนี้มันรู้สึกเจ็บปวด, รู้สึกสุข, รู้สึกทุกข์  เพราะฉะนั้นมันก็มีทางที่จะเกิดการปรุงแต่ง, เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่มาแวดล้อม  คือมันก็จะเกลียดทุกข์ขึ้นมาหรือเบื่อความทุกข์ขึ้นมา  มันก็จะเปลี่ยนไปหาความไม่ทุกข์  ให้ถือว่านี่เป็นลักษณะเฉพาะของจิตหรือสิ่งที่เรียกว่า “จิต” ซึ่งแปลว่ารู้ หรือก่อ หรือแก้ไข, หรือคำว่า “มโน” ก็แปลว่า รู้, คำว่า “วิญญาณ” ก็แปลว่ารู้  อะไรก็ล้วนแต่แปลว่า “รู้” ทั้งนั้น  ถ้าคำพูดที่เป็นชื่อของสิ่งที่เรียกว่าจิตนี่จะแปลว่ารู้  นี่มันก็รู้ตั้งแต่รู้จักเข็ดหลาบเพราะฉะนั้นจิตมันก็รู้จักเข็ดหลาบ  รู้จักดิ้นไปทางที่ไม่อยากจะได้, จะมี  ถ้ามันเผอิญมันมีความรู้ที่ถูกต้องมันก็ดิ้นไปถูกทาง  ถ้าไม่มีความรู้ถูกต้องมันก็ดิ้นไปผิดทาง  แต่หลาย ๆ หนเข้ามันก็จะต้องถูกทาง  

    แม้แต่สุนัขนี้มันยังรู้จักเลือกที่จะพบที่นอนที่สบาย  ไม่ใช่ว่าพบได้ในครั้งแรก  มันก็ต้องนอนตรงนั้นตรงนี้จนพบที่ ๆ สบาย  แล้วถ้ามันมีความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศมันก็ต้องเลือกต่อไปอีกจนพบที่สบายเพราะมันมีจิตเหมือนกัน  ทีนี้คนเราก็ต้องดีกว่าสุนัขนะ  จิตของมนุษย์จะต้องรู้จักหรือรู้สึกสุข ทุกข์ อยากจะหลีกจากทุกข์ อยากจะทำให้มันดีขึ้น  ทีนี้จิตที่มันยังต่ำอยู่  มันเคยชินแต่ในทางที่มีตัวตน มีตัวกู  เอ้า, ก็ยอมให้  เพราะมันยังเด็กอยู่  แต่ว่า ให้มันมีตัวกูหรือมีตัวตนที่เป็นไปในทางดี ทางถูก เรื่อยไปก็แล้วกัน  กว่ามันจะรู้ว่า “ราคะ” นี่เป็นไฟมันก็ผ่านความเจ็บปวดมามาก  ในที่สุดมันก็รู้  กว่าจะรู้ว่าโทสะนี้เป็นไฟ  มันก็กระทบกันมาแล้วมาก  ในที่สุดมันก็รู้มันก็ฉลาดขึ้นที่ไม่อยากจะไปเล่นกับไฟ  นี่เรียกว่าความรู้  ทีนี้มันเผลอไปมันก็ถูกไฟไหม้  ทีนี้มันรู้จักเข็ดรู้จักหลาบ  ทีนี้มันก็รู้จักกลัว  ไอ้กลัวนี้ก็จะทำให้รู้จักมีสติที่จะไม่เผลอให้ไฟมันไหม้อีก  มันเป็นมาได้ตามกฎเกณฑ์ในตัวมันเองของธรรมชาติ  ของธาตุที่เรียกว่ามโนธาตุ  สำหรับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มันเป็นแต่เพียงเปลือกหรืออุปกรณ์ให้เป็นออฟฟิศ  ให้มโนธาตุมันทำงานไปตามเรื่องตามราวของมัน  มันก็ฉลาดขึ้นมา ฉลาดขึ้นมาเป็นวิวัฒนาการ  ทีนี้ระหว่างนี้ถ้ามันจะฉลาดให้เร็วอย่างที่พวกเราต้องการจะมีจิตใจที่ดี ที่งาม ที่สูงอะไรเร็ว ๆ นี่ก็ต้องรู้จักวิธีการ หลักการ หรือปัญหาที่จะต้องแก้ไขแล้วก็แก้ไข  ดังนั้นจึงรู้จักตัวเองให้มากเป็นข้อใหญ่เป็นข้อแรกโดยอาศัยรู้เรื่องจริตนี้ ว่าเรามีจริตอะไร ? อย่างไร ? ใน ๖ จริตนี้อะไรมานำหน้า  แล้วอะไรที่ ๒ อะไรที่ ๓ อะไรที่ ๔ อะไรที่ ๕ อะไรที่ ๖ คือแทบจะไม่มีเลย  ไอ้คำว่าที่ ๑ นี้มันจะต้องเอาไปตั้ง ๕๐%, ๖๐% , ๘๐%  ก็ไม่แน่  และที่ ๒ ก็เหลือ ๒๐%  ที่ ๓ ก็เหลือ ๑๐ เหลือ ๕ เหลือ ๑ ไปเลย  เพราะฉะนั้นเขาจึงยกเอาจริตที่รุนแรงนั้นมาเป็นตัวปัญหา  เรียกว่าปัญหาที่ต้องเผชิญ

    ทีนี้ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าแม้มันจะมีถึง ๖ จริต  แต่ก็แบ่งออกได้เป็น ๒ พวก  ทีนี้ในพวกหนึ่งมีวิธีแก้ไขคล้ายกันหรือไปด้วยกันได้  มันก็ยังเหลือ ๒ ปัญหา  แต่ว่าที่จริงมันไม่ถึง ๖ ปัญหา  แต่ให้แยกละเอียดมันก็เป็น ๖ ชนิด ๖ ปัญหา  เดี๋ยวนี้ก็เอามารวมกันเป็นหมวดหมู่ที่มันคล้ายกันไปด้วยกันก็เหลือเพียง ๒ ชนิด  คือพวกรุนแรง, รวดเร็ว, ว่องไว  แล้วก็พวกที่อืด หรือหนืด หรือช้า หรืองุ่มง่าม หรือชวนแต่จะหยุด  ทีนี้เมื่อสิ่งแวดล้อมของสมัยปัจจุบันนี้มันส่งเสริมไปในจริตกลุ่มไหนปัญหามันก็อยู่ที่จริตกลุ่มนั้น  พูดได้เลยว่ามันเป็นกลุ่มแรก  มีการศึกษามีความเฉลียวฉลาดมากมันก็มีราคะมาก โทสะมาก มีความคิดมาก มีความอยากรู้มากจนเกินที่ควรจะเป็น  เปรียบเทียบกันสมัยที่คนมีการศึกษาน้อยสมัยปู่ย่าตาชวดของเรา  เรื่องราคะนี้ก็มีน้อย  ไม่โลดโผนเหมือนสมัยที่มันมีการศึกษามาก  เพราะการศึกษาทั้งหมดนี้ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสของเนื้อหนัง  ความต้องการเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังเป็นเหตุให้จัดการศึกษาพูดอย่างนี้ได้เลยจะเป็นคำด่าที่สุดก็ได้  การศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันนี้มันเพื่อประโยชน์สุขแก่เนื้อหนัง  จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือเป็นเรื่องอะไรซึ่งมันเนื่องกันมาอีก  เป็นเรื่องทหาร เรื่องการเมืองอะไรก็ตามเพื่อผลคือเนื้อหนังทั้งนั้น  ฉะนั้นเด็ก ๆ ของเราจึงประสบปัญหาทางกิเลสนี้มาแต่เล็กและก็มากไปจนโต  ไอ้โลกต้องการความอยู่ดีกินดีที่ยิ่งขึ้นไป  ใช้คำว่าอยู่ดีกินดีนี้มันขี้โกงมันไม่ตรง  ถ้าอยู่ดีกินดีมันก็ต้องไม่มีความทุกข์  เดี๋ยวนี้ความทุกข์มันมากขึ้น  เพราะฉะนั้นไม่ควรจะเรียกว่าอยู่ดีกินดี  ถ้าอยู่ดีกินดีก็ตามประสาของคนที่โง่ที่หลงในเนื้อหนังก็ได้  ภาษาธรรมะเราอยากจะพูดกันว่ากินอยู่พอดีพอป้องกันกิเลสอยู่ในตัว  นี่เขาไปเอากินดีอยู่ดีแล้วก็ไม่มีขอบเขต  ทั้งโลกเลยระดมกันเฮไปทางนั้น  นี่มันจึงเป็นปัญหาที่หนัก

    ทีนี้ว่าในโลกนี้มันเต็มไปแต่สิ่งที่ยั่วให้เกิดราคะ  ถ้ายังไม่ถึงเรื่องเพศ  เรื่องตรงกันข้ามมันก็เป็นความเอร็ดอร่อยทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางเนื้อหนังไปตามประสาเด็ก ๆ ก่อน  และในที่สุดก็ไปสู่เรื่องเพศ  ปัญหามันจึงเกิดขึ้น  เป็นโลกแห่งราคะ  ถ้าราคะในกามารมณ์ก็เรียกว่ากามราคะนี่คือตัวสำคัญที่กำลังครอบงำโลกอยู่เวลานี้  ทีนี้ถ้าไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ก็เป็นรูปราคะ  เดี๋ยวนี้เราก็มีอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะที่มันเป็นเรื่องความก้าวหน้าทางศึกษา ทางวัตถุ  มีวัตถุอะไรล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์โดยตรงมันก็ก้าวหน้า เช่น จะเล่นนั่นเล่นนี่  ไอ้ของเล่นที่สมัยนี้ยิ่งวิเศษ พิเศษขึ้นไป หรือว่าเพลิดเพลินในความคิด การค้นคว้าหาความรู้ การประดิษฐ์อะไรต่าง ๆ นี้เมื่อพอใจก็เรียกว่าราคะ  เป็นรูปราคะบ้าง  เป็นอรูปราคะบ้าง  กระทั่งไปโลกพระจันทร์อะไรนี้มันก็ไม่พ้นจากเรื่องของราคะ  แต่มันไม่ใช่เป็นเรื่องของกามราคะโดยตรงก่อน  แต่ในที่สุดมันก็เพื่อกามราคะก็ได้ก็เรียกว่าราคะกำลังครอบงำโลกอยู่  เป็นกามราคะเป็นส่วนใหญ่  แล้วราคะอื่น ๆ อีก  แม้แต่เด็ก ๆ ที่รักแก้วแหวนเงินทองที่ใช้ประดับประดาแต่งกายนี้เขาก็เรียกว่าราคะตามภาษาบาลี  ทีนี้ราคะมากเท่าไหร่โทสะจะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว  เพราะว่าโทสะนั้นเกิดมาจากการที่ไม่ได้ตามราคะต้องการ  ถ้าราคะก้าวหน้า-โทสะก็ต้องก้าวหน้า  เพราะ(ฉะ)นั้นไอ้เรื่องอื่น ๆ ก็ต้องก้าวหน้าตามไอ้ราคะซึ่งนำหน้า  ความอยาก-ความต้องการมันนำหน้า  ไม่ได้ตามต้องการมันก็โกรธ  ที่มันอยากได้ มันก็คิดคือวิตกจริต  คิดจนคิด ๆๆ ไปจนเหมือนไอ้เครื่องจักร  จนฝันก็คิดได้ subconscious ก็คิดได้  หลับแล้วก็ยังฝันเป็นการคิด  คิดค้นเลยคิดค้นของใหม่  ในที่สุดไอ้พุทธิจริตมันก็ถูกลากตามมา  อยากรู้ไม่มีที่สิ้นสุด  แล้วก็พอใจหยิ่งผยอง  หยิ่งผยองในเรื่องความรู้มันเนื่องกันอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นสรุปแล้วมันมาจากความต้องการซึ่งเรียกว่าเป็นราคะได้โดยตรง  แต่ว่ามันต่างกันคนละ...คนละจังหวะ  ไอ้ความอยากเมื่อมันอยากขึ้นแล้วมันก็ต้องยินดี  ตอนที่ยินดีนี้เขาเรียกว่าเป็นราคะ  ถ้าไม่ได้ตามอยากมันก็เกิดเป็นตรงกันข้ามคือยินร้าย  ก็มีปัญหาต่าง ๆ ต่อเนื่องกันไป  นี่เรียกว่ารู้จักคน ๆ หนึ่ง ก็ได้  รู้จักคนทั้งโลกก็ได้  เป็นอยู่อย่างนี้

    ทีนี้จะเหลียวไปดูไอ้กลุ่มที่ ๒ คือโมหะกับสัทธา  มันก็ยังเป็นทาสเป็นบ่าวของความอยากอยู่เหมือนกัน  โมหะแม้ว่ามันจะเฉย จะอืด จะเนือย จะคล้าย ๆ กับจะหลับตาอยู่  มันก็ยังมีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่  ไอ้ศรัทธาความเชื่อมันก็เพราะว่าหวังว่าจะได้อะไรอย่างหนึ่งเหมือนกัน  นี่มันก็ขึ้นอยู่กับความอยากด้วยกันทั้งนั้นแต่วิธีมันต่างกันโดยแยกออกเป็น ๒ พวกเพราะเหตุนี้

    ทีนี้เมื่อเรารู้ไอ้เรื่องจริตคือเป็นตัวปัญหาที่เป็นตัวปัญหาพอสมควรแล้ว  ก็อาจจะรู้ลู่ทางที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น  อย่างที่ผมพูดว่ามันก็ต้องใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ ฟันต่อฟัน ตาต่อตา  เมื่อพวกที่ ๑ ไอ้จริตพวกที่ ๑ มันรู้มาก มันอะไรมาก มันเก่ง มันก็ถ่วงมันไว้กับสิ่งที่ตรงกันข้าม  คืออย่าไปรู้ไปชี้อะไรให้มันมากนัก  นี่พูดแล้วมันก็ไม่น่าเชื่อเพราะเขาจะถือว่ามันไม่ก้าวหน้า  แต่อย่าลืมว่าปัญหามันเกิดขึ้นเพราะไปรู้ไปชี้ไอ้สิ่งต่าง ๆ มากเกินไป  เพราะฉะนั้นมันลดลงเสียบ้าง  อย่าไปรู้ไปชี้อะไรมันมากนักนี่พวกที่ ๑

    ทีนี้ส่วนไอ้พวกที่ ๒ โมหะจริต, สัทธาจริตนั้นนะ  พวกนี้ไปรู้ไปชี้อะไรให้มันมากเข้าอีกหน่อย  อย่าสันโดษนักในเรื่องความรู้ความชี้  แต่พวกที่ ๑ นี้ต้องลดลงเสียบ้างหรือลดลงเสียให้มากที่สุด  พวกที่ ๒ ก็ไปรู้ไปชี้ให้มันมากอีกหน่อย  ทีนี้พวกที่ ๑ นั่นมันอยากดี อยากเด่น อยากดัง อยากชนะ นั่นก็แก้มันโดยที่ว่าอย่าไปอยากดัง อย่าไปอยากเด่น อย่าไปอยากชนะสิ  ลดไอ้อยากดี อยากเด่น อยากดัง อยากชนะลงเสียสิหรือว่าไม่เอาเสียเลยสักพักหนึ่งก็ได้  มันจะได้ลดไอ้สิ่งที่มันเกินไป  ทีนี้ไอ้พวกที่ ๒ นั้นขยันสักหน่อยสิ ขยันจะดี จะเด่น จะดัง จะชนะอะไรบ้าง  ขยันสักหน่อยให้มันตรงกันข้าม

    สรุปแล้วก็ว่าไอ้พวกที่ ๑ นั้นมันควรจะอยากด้อยลงเสียบ้าง  แล้วพวกที่ ๒ มันก็อยากเด่นให้มาก ๆขึ้นไป  นี่เมื่อรู้จริตว่ามันมีอยู่อย่างนี้แล้ว  เป็น ๒ พวกอย่างนี้แล้ว  ตรงกันข้ามกันอยู่อย่างนี้แล้ว  ก็พบคำตอบที่ง่าย ๆ คือทำที่มันตรงกันข้ามให้ทันกัน  ถึงขนาดที่เรียกว่าเกลือจิ้มเกลือ  “ตัวกู” มันอยากดังอยากเด่นก็ลดลงเสีย  ไอ้ “ตัวกู” ที่มันซึม มันโง่ ก็ค่อย ๆ ยุให้มันอยากเด่นอยากดังขึ้นมาบ้างให้พอดีตามสมควรแก่จริตที่มีอยู่  ทีนี้ผลสุดท้ายปัญหาที่มันแก้ไม่ตกก็คือว่าไม่รู้จักตัวเองได้โดยเฉพาะพวกโมหะจริต สัทธาจริตนี้มันหนังเหนียว มันเข็นไม่ไป หรือมันอะไรทำนองนี้  มันยากที่จะรู้จักตัวเองได้  ฉะนั้นการศึกษาก็คงจะช่วยได้  การศึกษาที่ทำให้พวกกลุ่มที่ ๑ เฟ้อไปหรือเกินไปนี่มันก็จะช่วยกลุ่มที่ ๒ ให้พอดีได้  แต่มันก็ไม่เอาอีกละ  ถ้ามันลงเป็นโมหะจริต, สัทธาจริตแล้วมันสั่นหัว  มันไม่อยากเรียน  มันไม่อยากจะลืมตา  นี่ ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้ในโลกนี้เพราะฉะนั้นมันจึงมีครบถ้วนอยู่อย่างที่เห็น ๆ อยู่  ๖ จริตนี้หรือ ๒ กลุ่มนี้

    เอาละทีนี้มันพูดถึงเรื่องตัวเองมันก็จบ  ถ้าคิดจะช่วยผู้อื่นบ้างก็ต้องใช้หลักเกณฑ์อันนี้เพราะว่าเรามีหน้าที่  นอกจากจะช่วยตัวเองแล้วยังต้องช่วยผู้อื่นบ้างพร้อม ๆ กันไป  ก็ต้องใช้หลักเกณฑ์อันเดียวกันนี้  เอาไปจัด  เอาไปปรับกันเข้าให้พอเหมาะให้พอดี  ไม่เกิดเรื่องไม่เกิดราว  ทำผิดมันก็เกิดเรื่อง  ทำไม่พอเหมาะพอดีมันก็เกิดเรื่อง  ต้องโทษตัวเองที่ว่ามันทำผิด  ไม่รู้สิ่งที่ควรทำและไม่รู้ว่าควรทำเท่าไรหรืออย่างไร

    นี่วันนี้เราไม่ได้พูดกันถึงเรื่องอะไรอื่นนอกจากเรื่องของจริตคือตัวเอง  ตัวเองที่ธรรมชาติหลอมหล่อขึ้นมาจนกระทั่งมีอายุเท่านี้มานั่งอยู่นี่มันประกอบอยู่ด้วยสิ่งนี้  หรือมันหลอมขึ้นมาด้วยสิ่งนี้ด้วยจริตทั้ง ๖ นี้  แล้วก็มามีผลอยู่อย่างนี้ เป็นจริตอยู่อย่างนี้ เป็นบุคคลที่มีจริตอย่างนี้  แล้วก็คือเรื่อง ตัวกู-ของกู  มีจริตอย่างไร  ตัวกู-ของกู ก็เต้นรำไปตามจริตอย่างนั้น ตามแบบของมัน ตามลักษณะของมัน  จึงได้มีการกระทบกระทั่งทั้งภายในและภายนอก  ภายในก็ไม่มีความสุข  ภายนอกก็ไม่มีความสุข  คือมีการเบียดเบียน กระทบกระทั่ง  ช่วยกันศึกษาให้ดีในส่วนนี้เพื่อจะไปใช้ความรู้อันนี้ประกอบกันเข้ากับส่วนอื่น ๆ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เคยบรรยายมาแล้วหลาย ๆๆ ครั้งก็ได้  แก้ปัญหา ตัวกู-ของกู ได้ไปตามลำดับ ๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเป็นที่พอใจ  แล้ววันนี้พอกันที

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service