แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลาธรรมเทศนาถึงปูรพาถึงอาสาฬหบูชาเช่นนี้ เป็นการสมควรที่จะได้กล่าวถึงวิธีการจะทำที่จะช่วยให้การกระทำอาสาฬหบูชาในวันนี้ มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ขอให้ท่านทั้งหลายพึงตั้งใจสดับตรับฟังให้สำเร็จประโยชน์โดยสมควรแก่ตนๆ จงทุกคนเถิด ตามธรรมดาไม่ว่าจะทำอะไรต้องเข้าใจในสิ่งที่ตัวกระทำ และมีความมีการกระทำที่ถูกต้องจึงจะมีปีติปราโมทย์เกิดมาจากการกระทำนั้น ได้ผลในทางจิตใจเป็นวาระแรกก่อน แล้วก็ได้ผลสืบต่อไปในทางกาย ทางวาจา ทางวัตถุ หรือทางอะไรก็แล้วแต่ที่จะปรารถนา สำหรับการทำอาสาฬหบูชาในวันนี้ เป็นการกระทำที่เคยกระทำกันมาทุกปี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ควรจะตั้งอกตั้งใจสำรวมระวังกระทำให้ดีกว่าที่แล้วมา คือให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกปีจึงจะสมกับการที่เป็นพุทธบริษัทมีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้ามิเช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นการย่ำเท้า และเมื่อย่ำเท้าอยู่ที่เดียวหนักเข้า ก็คงจะมีสักเวลาหนึ่งซึ่งจะเป็นการถอยหลังซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอาย หรือน่าเวทนาสงสารสำหรับผู้มีการกระทำเห็นปานนั้น จึงขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจ กระทำให้ดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งโดยกาย โดยวาจา และโดยใจ ดังที่กล่าวมานี้
สำหรับคำว่า อาสาฬหบูชา แปลว่า การทำการบูชาเนื่องในโอกาสแห่งพระจันทร์เสวยฤกษ์อาสาฬห ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมจึงมีความสำคัญเช่นนี้เกิดขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพราะว่า วันเพ็ญอาสาฬห นี้กำหนดไว้เป็นวันที่ระลึกสำหรับการแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตรของผู้มีพระภาคเจ้า คือการแสดงธรรมเป็นครั้งแรก หลังจากการตรัสรู้แล้ว วันเช่นวันนี้จึงควรจะมีนามตามสามัญโมหารว่า วันพระธรรม วันวิสาขปุณณมี เป็นวันประสูติ ตรัสรู ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เราก็เรียกว่า วันพระพุทธเจ้า ส่วนวันนี้เป็นวันที่ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นการประกาศพระศาสนาเป็นครั้งแรก คือประกาศพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรูนั้นเป็นครั้งแรก จึงเรียกว่าวันพระธรรม นี้เป็นเวลาล่วงมา ๒ เดือนหลังจากการตรัสรู้ หลังจากวันนี้ไปอีก ๗ เดือน ก็เป็นวันที่คณะสงฆ์เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์หรือเป็นปึกแผ่น คือมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันในวันที่เรียกว่าวันมาฆปุณณมี จึงเรียกวันๆนั้นว่าวันพระสงฆ์ หรือ วันของพระอรหันต์ ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า ในวันเพ็ญวิสาขปุณณมี ที่เราเรียกกันว่า วันเพ็ญเดือน ๖ นั้น เป็นวันพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต่อมาอีก ๒ เดือน ก็ถึงวันเพ็ญอาสาฬหปุณณมี คือวันนี้ เป็นวันที่ทรงประกาศธรรมจักร หรือ สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ต่อไป ๗ เดือน ซึ่งวันมาฆปุณณมี เป็นเดือน ๓ ก็เป็นวันที่พระอรหันต์เกิดขึ้น เป็นปึกแผ่นถึง ๑,๒๕๐ รูป เราจึงได้วันครบทั้ง ๓ วัน คือ วันพระพุทธเจ้า วันพระธรรม และวันพระสงฆ์ เพ็ญเดือน ๖ เป็นวันพระพุทธเจ้า ต่อมาอีก ๒ เดือน เป็นวันพระธรรม ต่อไปอีก ๗ เดือน เป็นวันพระสงฆ์ ดังนี้
วันนี้โดยเฉพาะกำหนดไว้ให้เป็นวันสำหรับพระธรรม คือ การแสดงธรรมจักร ความข้อนี้ทุกคนจะต้องระลึกนึกไปถึงเหตุการณ์อันหนึ่ง คือ เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วในทันใดนั้น เกิดความพอพระทัยว่าสัตว์ทั้งหลายมากไปด้วยกิเลส จักไม่เข้าใจธรรมะอันลึกซึ้ง อันประณีต ที่ได้ตรัสรู้นี้ เมื่อทรงดำริไปเช่นนี้ ก็เกิดท้อพระทัยในการที่จะแสดงธรรม ทรงตั้งพระทัยว่าจักไม่แสดงธรรม แต่แล้วความคิดได้เกิดแทรกขึ้นมาว่า มันยังมีคนบางคนหรือคนบางพวกที่มีกิเลสน้อย คนพวกนี้อาจจะเข้าใจพระธรรมอันลึกซึ้งนี้ได้บ้าง ถ้าจะไม่แสดงธรรมเสียเลย ความเสื่อมเสียอันใหญ่หลวงก็จะเกิดขึ้นแก่สัตว์จำพวกนี้ ดังนั้นควรจะแสดงธรรมแก่สัตว์ประเภทนี้ การที่กลับพระทัยตั้งพระทัยที่จะทรงแสดงธรรมแก่คนพวกนี้นั้น ท่านกล่าวกันอย่างเป็นปุคคลาธิษฐาน ว่าท้าวสหัมบดีพรหม ลงมาจากพรหมโลกมาอ้อนวอน พระพุทธองค์ให้ทรงแสดงธรรม ว่าโลกกำลังอยู่ในความมืดขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อแสงสว่าง จงตีกลองอมตะให้สัตว์ทั้งหลายได้ยิน อย่างนี้เป็นต้น แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงรับคำอ้อนวอนของท้าวสหัมบดีพรหมเพื่อจะแสดงธรรม เรื่องนี้ถ้ากล่าวอย่างปุคคลาธิษฐาน ก็มีกล่าวว่าอย่างนี้ ถ้ากล่าวตามธรรมดาสามัญ ก็กล่าวอย่างที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงเฉลียวพระทัยขึ้นมาได้เอง ว่ามันยังมีคนบางพวกหรือบางคนที่มีกิเลสน้อย อาจจะเข้าใจธรรมนั้นได้ ฉะนั้นจึงควรจะแสดงธรรม
ทีนี้ท่านทั้งหลายทั้งปวงก็จงพิจารณาตัวเองดู ว่าตัวเองอยู่ในบุคคลจำพวกไหน คือ จำพวกที่ไม่อาจจะเข้าใจพระธรรมเอาเสียเลยหรือว่ามีกิเลสธุลีไม่มากนักพอที่จะเข้าใจในธรรมนั้นได้ ถ้าท่านผู้ใดจะจัดตัวเองไว้ ในพวกที่พอจะเข้าใจพระธรรมได้ ก็จงนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในข้อนี้ แล้วสนองพระพุทธประสงค์คือด้วยการปฏิบัติดี ตามพระธรรมคำสอนนั้น แล้วมาช่วยกันทำพิธีอาสาฬหบูชาคือทำการบูชาในวันนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรกแก่ภิกษุที่เรียกว่า ปัจจวัคคีย์ แล้วก็มีผลทำให้พระธรรมจักรหรือพระศาสนานี้ตั้งมั่นปึกแผ่นลงในโลกสำเร็จประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง วันๆนี้เวียนมาถึงเข้าเราจึงประกอบพิธีนี้ ที่เรียกว่า พิธีอาสาฬหบูชา ฉะนั้นผู้ใดที่ตั้งใจจะทำพิธีอาสาฬหบูชาให้สมบูรณ์ ก็ควรควรจะกระทำให้ครบถ้วน ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา และทางใจ ทางกาย ก็ที่ทำอย่างที่เรียกว่า เวียนประทักษิณ เวียนทักษิณาวัตร ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดที่มนุษย์จะพึงแสดงได้โดยร่างกายตามระเบียบวัฒนธรรมของประเทศอินเดียซึ่งเป็นต้นตอของวัฒนธรรมไทย เราจึงทำการบูชาทางร่างกายด้วยการเวียนประทักษิณสิ้น ๓ รอบ แล้วก็ทำการบูชาด้วยวาจา คือกล่าวพระคุณของพระองค์และกล่าวบูชาด้วยวาจาตามบทที่มีไว้สำหรับกล่าวนั้นซึ่งเราก็จะได้กล่าวในวันนี้
ทีนี้การทำบูชาการทำการบูชาด้วยใจนั้นก็คือการระลึกนึกถึงพระคุณข้อนี้ให้แจ่มแจ้งโดยนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง กายก็เดินเวียนประทักษิณ วาจาก็ว่าพระคุณและบูชาคุณ จิตก็ระลึกนึกถึงพระคุณ ว่าถ้าปราศจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือการเปิดเผยซึ่งพระธรรมนี้แล้ว สัตว์ทั้งหลายก็จะจมอยู่ในความมืด มีผลเป็นความทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะมีคุณค่าสมแก่ความเป็นมนุษย์เลย และที่เสียหายอย่างยิ่งก็คือจะจมอยู่ในกองทุกข์ เป็นความทรมาน อย่างที่รู้สึกตัวบ้าง อย่างที่ไม่รู้สึกตัวบ้าง จนชีวิตนี้ก็คือความทุกข์นั่นเอง เดี๋ยวนี้ได้รับแสงสว่างจากพระธรรมนั้นจึงรู้จักทำตัวคือทำจิตใจเสียใหม่ให้อยู่ในลักษณะที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเห็นปานนั้น แล้วบางคนก็สามารถถึงกับที่จะทำกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์นั้นสูญสิ้นไปจากขันธสันดาน เรียกว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐไปกว่านั้นแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจพิจารณาดูในข้อนี้ให้เป็นอย่างดี ว่าการที่มนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับนี้ เพราะพระพุทธเจ้า กล่าวคือ เพราะการตรัสรู้ของพระองค์ แล้วทรงเปิดเผยสิ่งซึ่งลึกลับนั้น ทำสิ่งที่ลึกให้เป็นของตื้น ทำสิ่งที่ยากให้เป็นของง่าย ทำสิ่งที่คว่ำให้เป็นของหงาย เป็นต้น ตามนัยที่ใช้สำหรับสรรเสริญพระคุณของพระองค์ เรามีความเข้าใจข้อนี้จริงเพียงไร ก็จะมีศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใส ความเคารพ ความรัก ในพระพุทธเจ้ามากเท่านั้น
ดังนั้นจึงเสียสละได้ทุกอย่างทุกประการในการที่จะกระทำการบูชาเป็นพิเศษ เช่นการกระทำในวันนี้ แม้ว่าจะต้องลำบากบ้างด้วยประการใดก็จะทนทำด้วยความเสียสละ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านทนลำบากนานาประการ ในการเที่ยวประกาศพระศาสนา เกี่ยวกับข้อนี้เราได้พูดกันแล้ว พูดกันเล่า พูดกันอีก อยู่ตลอดเวลา เพื่อเตือนให้ระลึกนึกถึงว่า พระพุทธเจ้าท่านเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาทที่ไม่ได้สวมรองเท้าหรือเขียงเท้า แล้วก็ไม่ได้ใช้ยานพาหนะเช่นรถ เช่นแม้แต่เกวียน เป็นต้น แล้วก็ไม่มีร่มที่จะกันแดดเหมือนพวกเรา อะไรๆก็ล้วนแต่เป็นไปในลักษณะที่ต้องทน อาศัยความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้งจึงทำให้ทนได้ ที่จริงข้อที่กลับข้อที่พระองค์ทรงกลับพระทัย ทีแรกที่ว่าจะไม่สอนสัตว์แล้วมากลายเป็นว่าจะพยายามสอนสัตว์นี้ ก็อาศัยสิ่งที่เรียกว่า ความเมตตา ซึ่งเป็นบารมีที่พระองค์ทรงสั่งสมอบรมมาจนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อจะต้องทรงเที่ยวทรมานพระองค์ สั่งสอนสัตว์ทั่ว ๆ ไป ก็ทำได้โดยง่ายคือโดยไม่ยากเพราะอาศัยพระบารมีที่อบรมมา กล่าวคือ เมตตา กรุณานั้น เมื่อเรามานึกถึงข้อนี้แล้ว เราก็คงจะอดทนได้เช่นเดียวกัน ได้เคยพูดกันเสมอว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านประสูติกลางพื้นดิน ท่านตรัสรู้กลางพื้นดิน ท่านนิพพานก็กลางพื้นดิน เวลาส่วนมากก็พักอยู่กลางพื้นดิน แม้แต่การแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตรแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์นี้ก็กล่าวได้เต็มปากว่า ต้องนั่งแสดงกลางพื้นดิน ไม่ได้ขึ้นธรรมาสน์เหมือนประเพณีที่ใช้กันอยู่ในบัดนี้ หมายความว่าอยู่อย่างไรในสภาพอย่างไร ที่พูดกันด้วยปากได้ก็พูดเท่านั้นเอง
ดังนั้นการแสดงธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าส่วนมากที่สุดก็แสดงกลางพื้นดิน มิหนำบางทีก็กลางทางเดิน ขณะที่กำลังเดินทางอยู่อย่างนี้ก็มีเป็นอันมาก แล้วแต่ว่าจะมีอะไรเป็นชนวนที่ทำให้พระพุทธองค์มีพระพุทธประสงค์ที่จะแสดงขึ้นมา ก็เป็นอันว่าได้ทรงพยายามทุกอย่างด้วยความเมตตาแก่สรรพสัตว์ จึงได้เที่ยวเปิดเผยธรรมะนี้ด้วยความยากลำบาก เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งที่กลางพื้นดินถึงแม้จะมีเสื่อรองก็ยังกล่าวได้ว่านั่งกลางพื้นดิน ฉะนั้นคนที่นั่งกลางพื้นดินจริง ๆ ก็จะเป็นการบูชาพระพุทธเจ้ามากกว่าคนที่นั่งบนเสื่อ พระพุทธเจ้าไม่เคยสวมรองเท้า ดังนั้นถ้าเราจะเวียนประทักษิณโดยการไม่สวมรองเท้า ก็จะเป็นการบูชาพระพุทธเจ้ามากกว่าที่จะเดินเวียนด้วยทั้งที่สวมรองเท้า ฉะนั้นขอให้เลือกเอาเองว่าทำอย่างไรจะเป็นการบูชาแก่พระพุทธเจ้ามากที่สุด สมกับความกตัญญูกตเวทีของเราที่มีมากที่สุดแล้วก็จงกระทำอย่างนั้นเถิด ก็จะเป็นการกล่าวได้ว่า เราได้กระทำด้วยความเสียสละอย่างสุดชีวิตจิตใจ เหมือนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเสียสละให้แก่พวกเรา ในการท่องเที่ยวไปเพื่อสั่งสอนสัตว์ ผจญกับความยากลำบากทุกอย่างทุกประการ แม้แต่ต้องเผชิญหน้ากันกับพวกศัตรู ผู้มุ่งร้าย มุ่งหมายจะทำลายล้าง ไม่ให้พระองค์ประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นมาได้ อย่างนี้ก็ยังมี เมื่อเทียบการเสียสละกันโดยนัยนี้แล้ว การเสียสละของพวกเราก็ดูยังจะน้อยไป นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องเอามาคิดดูให้ดี ๆ ว่าพระพุทธองค์เป็นเจ้าหนี้ เราเป็นลูกหนี้ ทีนี้ความเป็นเจ้าหนี้และความเป็นลูกหนี้นี้ มันพอฟัดเหวี่ยงกันหรือเปล่า
ถ้าพระพุทธองค์เป็นเจ้าหนี้มากมายเท่าภูเขาเลากา แล้วก็เรามีค่าเท่ากับฝุ่นละอองอนุภาคหนึ่งอย่างนี้มันจะตอบแทนกันได้อย่างไร หรือว่าพูดกันง่าย ๆ ทีหนึ่งว่า บุญคุณที่พระพุทธเจ้ามีแก่เรานั้นมีราคาหลายร้อยล้านบาท แล้วเราใช้หนี้ให้พระองค์สตางค์หนึ่งอย่างนี้ มันจะคุ้มหรือไม่คุ้มกันเท่าไหร่ก็ลองคิดดู จงพยายามใช้หนี้ให้มันมากกว่า ๑ สตางค์เถิด นี้จะทำได้ด้วยการที่มีความตั้งอกตั้งใจอย่างแท้จริงสุดความสามารถทั้งทางกายทางวาจาใจโดยแท้จริง นั่นแหละมันจะมีราคามากกว่า ๑ สตางค์ จะมีราคามากเป็นล้านล้านบาทได้เหมือนกัน แล้วก็พอที่จะใช้หนี้แก่พระพุทธองค์ การที่คิดว่ามีธูป เทียน ดอกไม้ มา ก็จะทำสักการะบูชา ถ้าคิดว่าเป็นการใช้หนี้แก่พระองค์อย่างนี้มันก็จะมันก็คงจะเข้าแบบ เป็นหนี้ตั้งร้อยร้อยล้านบาทแล้วใช้ให้สตางค์เดียวอยู่นั่นเอง เว้นไว้เสียแต่ว่าจะรู้จักทำจิตใจให้รู้ ว่าเครื่องสักการะมีธูปเทียนดอกไม้เป็นต้นนี้มีความหมายอย่างไร สิ่งนี้เป็นวัตถุค่าของวัตถุนี้ไม่ค่อยจะมี มีน้อยมากแต่ถ้าความหมายของสิ่งนี้ย่อมจะมีมาก คือว่าเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้ให้เป็นเครื่องแสดงน้ำใจและมีความหมายเหมือนกับเครื่องสักการะเหล่านั้นด้วย อย่างธูปก็มีความหอม เทียนก็มีแสงสว่าง ดอกไม้ก็มีความงาม ถ้าเราเปลี่ยนไอ้ความหอม ความงาม ความสว่างเหล่านั้น ให้เป็นเรื่องทางธรรม โดยที่มีจิตใจของเราเหมือนกับความหมายของสิ่งเหล่านั้น มีจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ ประกอบอยู่ด้วยคุณธรรม แล้วก็ถือเครื่องสักการะนั้นอยู่ในมือ ก็ทำร่างกายนี้ให้เป็นเหมือนกับภาชนะรองรับเครื่องสักการะนั้น เหมือนกับที่เรากล่าวในคำบูชาที่จะได้กล่าวต่อไป ดังนี้แล้ว ธูปเทียน ดอกไม้ เป็นต้น มันก็จะมีค่ากลายเป็นคุณธรรมหรือมีค่าในทางนามธรรมขึ้นมาได้มาก พอจะเป็นเครื่องบูชาคุณพระองค์ได้เหมือนกัน
ครั้งหนึ่งอาตมาไปที่ประเทศอินเดีย ไปไหว้ที่พระพุทธคยาเอาธูปไปจากประเทศไทย พอเข้าไปในบริเวณพุทธคยา จิตใจมันเกิดความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปหมด รู้สึกคุณค่าอันมหาศาลพรรณาไม่ได้ อย่างที่เรียกว่า คำนวณไม่ไหวในพระคุณของพระองค์ พอเหลียวดูธูปเทียนที่พาไปมันเห็นเป็นเศษขยะมูลฝอย เลยขว้างทิ้งหมดรวมทั้งที่เขาฝากไปด้วย ก็เลยไปนั่งคิดนั่งนึก นั่งกระทำในจิตใจ ว่าทำอย่างไรจึงจะมีคุณค่า สมกับที่ใช้บูชาพระคุณที่ใหญ่หลวงจนประมาณไม่ไหวจนคำนวณไม่ไหวอย่างนี้ ก็เลยนั่งนึกเหมือนกับคนบ้าอยู่คนเดียว พอจะสรุปความได้ว่ามีความรู้สึกระลึกไปในทางที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านต้องทำอย่างไรเราจะทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างไรเราจะทำอย่างนั้น นั่งนึกนั่งนึกอยู่แต่อย่างนี้ ธูปเทียนที่เอาไปจากเมืองไทยนั้นขว้างทิ้งไปในคูแล้ว พอมาดูรู้สึกในเวลานั้นว่า มันเหมือนกับเอาเศษขยะมูลฝอยไปบูชาพระพุทธเจ้า มันกระสับกระส่ายละอายและรู้สึกว้าวุ่นในจิตใจเหลือประมาณ ทีนี้ก็มานึกถึงข้อที่ว่าจะบูชาด้วยอะไร ก็บูชาด้วยสิ่งที่พระพุทธองค์ต้องการคือต้องประสงค์ อันนี้เองเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการเสียสละ ที่จะต่อสู้หรืออดทนต่อความยากลำบากในการที่จะทำตามพระพุทธประสงค์ของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังที่พยายามทำอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ไม่ยอมเลิกละ จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ก็ถือเอาที่ว่านี้เป็นเครื่องสักการะ หรือว่าเป็นการผ่อนใช้หนี้ที่มหาศาลนั้นทีละเล็กละน้อยให้ค่อยร่อยหรอเบาบางไปแล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะใช้ได้หมดสิ้น
หวังว่าท่านทั้งหลายก็คงจะเอาเรื่องชนิดนี้ไปคิดดูบ้าง ว่าท่านทั้งหลายจะต้องทำอย่างไร จึงจะเป็นการบูชาคุณของพระองค์ได้สมควรแก่กันและจะใช้หนี้พระองค์อย่างไร จึงจะสมควรแก่หนี้นั้น ขอให้ทุก ๆ ท่าน ทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ที่ตั้งตัวเองเป็นพุทธบริษัท จงได้คิดดูให้ดี ๆ ในเรื่องนี้ และเดี๋ยวนี้ก็เป็นโอกาสที่จะทำการบูชาที่เป็นพิเศษ ปีละครั้งเดียว ดูแล้วก็จงรีบทำในใจให้ดีเถิด ว่าจะตั้งใจว่าอย่างไร จึงจะเป็นการบูชาหรือเป็นการใช้หนี้ที่มันพอสมกัน ให้เป็นการกระทำที่หลอกหลอน เช่นเอาเศษขยะมูลฝอยไปบูชาพระองค์ ถือว่าเป็นหนี้เป็นร้อยร้อยล้านบาท แล้วก็ใช้ให้สตางค์เดียวอย่างนี้เป็นต้น เมื่อนึกได้ว่าจะต้องทำอย่างไรก็จงกระทำอย่างนั้นให้สุดความสามารถ โดยถือหลักว่าพระพุทธองค์มีความประสงค์อย่างไรก็จงทำอย่างนั้น ที่อาตมามองเห็นอยู่อย่างชัดเจนก็คือ พระองค์ต้องการให้ทุกคนช่วยกันสืบอายุพระศาสนา พูดกันภาษาธรรมดา ๆ ก็เรียกว่า ช่วยกันสืบอายุพระศาสนา คือ ช่วยกันทำให้พระศาสนายังคงมีชีวิตอยู่ไม่สาบสูญไปเสียแล้วเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปในโลกตลอดกาลอันยืดยาว พระศาสนาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ตอบได้ง่าย ๆ ว่าถ้าไม่มีการเล่าเรียน ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ถ้าไม่มีการได้รับผลของการปฏิบัติ อยู่ในโลกนี้นั่นแหละ พระศาสนายังมีอยู่ ทุกคนเล่าเรียนได้ ปฏิบัติได้ ได้รับผลการปฏิบัติได้ แล้วก็ต้องยินดีรับเอาหน้าที่ทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงและหน้าที่โดยอ้อม เรียนกันจริง ๆ ที่เรียนพระไตรปิฎก หรือเรียนอะไรที่เรียนกันจริง ๆ ปฏิบัติกันจริง ๆ ได้ผลจริง ๆ มันก็คงจะทำได้
แต่บางคนหรือบางหมู่บางพวก ที่ทำที่มีความเป็นอยู่ที่เหมาะสม อย่างนี้ก็ต้องทำในหน้าในฐานะเป็นหน้าที่โดยตรง ทีนี้ก็มีบางพวกไม่สามารถจะทำได้ถึงอย่างนั้น ทำได้เพียงการสนับสนุน ก็จงให้การสนับสนุน ให้มันเกิดการเรียน การปฏิบัติ การได้ผลการปฏิบัติแล้วสั่งสอนสืบ ๆ ต่อกันไป ทายกทายิกาทั้งหลายก็มีความสามารถในการที่จะช่วยสนับสนุนให้มีการเป็นอยู่ อยู่ได้สำหรับบรรพชิตที่จะศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฏิบัติและสอนสืบต่อกันไป นี้จะเรียกว่าโดยอ้อมก็ได้หรือแม้แต่จะเรียกว่าโดยตรงก็ได้ โดยอ้อมคือไม่ได้ทำเองแต่ถ้าเรียกว่าโดยตรงก็คือว่า ถ้าไม่มีผู้ทำหน้าที่อย่างนี้มันก็ล้มละลายหมดเหมือนกัน ไม่มีการบำรุงให้ภิกษุสงฆ์มีชีวิตอยู่ได้มันก็ตายหมด มันก็ไม่มีใครที่จะเรียน จะปฏิบัติหรือจะสั่งสอนสืบไป นี่มองในแง่นี้มันก็เป็นความจำเป็นโดยตรง เหมือนคนที่จะเล่นละครกันสักโรงหนึ่ง อย่าไปคิดถึงแต่ตัวที่จะเป็นพระเอกนางเอก มันจะต้องคิดถึงตัวที่จะเก็บกวาดหรือหาบหามหรือชำระชะล้างอะไรบ้าง ซึ่งถ้าขาดบุคคลชั้นนั้นเสียแล้ว มันก็ล้มละลายด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุฉะนี้แหละจึงมีหลักเกณฑ์ที่วางไว้ในลักษณะเหมือนกับว่ามันเป็นรูปที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า สหกรณ์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใน ๔ ประเภทนี้ทำหน้าที่ของตนรวมกันเป็นสหกรณ์ ก็เป็นการง่ายดายที่จะทำให้พระศาสนานี้มีชีวิตอยู่
ดังนั้นขอให้ทุกคนยินดีทำหน้าที่ของตนตามที่จะทำได้อย่างไร แล้วก็เรียกว่ามีผลเท่ากันมีความสำคัญอย่างเดียวกันในการที่จะสืบอายุพระศาสนา อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจมันจะเป็นความเข้าใจผิด เมื่อเรามีความสามารถน้อย แล้วเราจะไปทำงานที่มากหรือที่สูงได้อย่างไรหรือว่าถ้าไม่ทำเสียเลยมันก็ยิ่งร้ายหนักไปอีก มันจะต้องทำให้สุดความสามารถ แล้วก็เลือกเอาหน้าที่ที่จำเป็นที่ขาดไม่ได้ เช่น หน้าที่คนกวาดถนน ถ้าขาดเสียแล้วบ้านเมืองมันก็อยู่ไม่ได้ หรือแม้ที่เขาเรียกกันว่าหน้าที่บุรุษไปรษณีย์ สมัยนี้ยิ่งมีความจำเป็นมากซึ่งมันก็ขาดเสียไม่ได้ ในทางสืบอายุพระศาสนานี้ก็เหมือนกัน คนที่เรียนก็เรียน คนที่ค้นคว้าก็ค้นคว้า คนที่ปฏิบัติก็ปฏิบัติ คนที่ได้รับผลก็ได้รับผล คนที่สั่งสอนต่อไปก็สั่งสอนต่อไป คนที่ให้ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อร่วมมือก็ทำกันมาอย่างน่าเห็นอกเห็นใจ เลี้ยงข้าวสวยไม่ได้ก็เลื้ยงข้าวต้ม นี้ก็มันมีความสำคัญในการเป็นอยู่ได้ โดยความเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดมาช้านานแล้ว มาถึงพวกเราในปัจจุบันนี้ ก็มีหน้าที่เหลืออยู่แต่เพียงว่า จะทำให้มันดีขึ้น ให้มันมากขึ้น ให้มันถูกต้องยิ่งขึ้น ที่มันผิดพลาดมันก็จะได้หมดไป ที่มันถูกต้องมันก็จะได้มีมากขึ้น ฉะนั้นจึงพยายามทำและสนใจช่วยเหลือส่งเสริมผู้ที่กำลังทำ ให้มีการกระทำในนามของพุทธบริษัทรวม ๆ กันไป เหมือนกับที่เรียกว่า สหกรณ์ แล้วพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะยังคงอยู่ในโลกนี้ เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายสมตามพระพุทธประสงค์
เมื่อพูดถึงคำว่า พระพุทธประสงค์ ก็ไม่ต้องนึกถึงอะไรมากจงนึกถึงข้อความเพียงประโยคเดียวที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เมื่อจะปรินิพพานอยู่หยก ๆ แล้วว่า ธรรมวินัยอันใดที่ตถาคตแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมะและวินัยนั้นจักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย หลังแต่อัตภาพนี้ อัตภาพของตถาคตนี้ล่วงลับไป หมายความว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงล่วงลับไปโดยพระกาย คือ ทางร่างกาย และพระพุทธองค์ที่ยังอยู่ต่อไปไม่มีวันหมดสิ้น ก็คือ พระพุทธองค์ในรูปของพระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงแล้วบัญญัติแล้ว นี่ขอให้ถือว่าเป็นพระพุทธประสงค์เป็นพุทธประสงค์ว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้ขาดอย่าได้ว่างจากพระศาสดาเลย ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีพระศาสดาอยู่ตลอดกาล คือให้ถือเอาพระธรรมและวินัยนั้นอยู่เป็นศาสดาตลอดกาล ทีนี้สิ่งที่เรียกว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นจะมีอยู่ได้อย่างไรตลอดกาล มันก็เหมือนอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ต้องมีคนเรียน ต้องมีคนปฏิบัติ ต้องมีคนได้รับผลของการปฏิบัตินั้น จึงจะเรียกว่า พระธรรมและพระวินัยยังมีอยู่ เพียงแต่พิมพ์ไว้เป็นเล่มหนังสือใส่ตู้ไว้มาก ๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่า พระธรรมวินัยมีอยู่ มันมีแต่ซากหรือเศษหรืออะไรทำนองนั้น มันต้องมีการเรียนให้เข้าใจ เรียนเข้าใจก็ยังไม่พอมันต้องมีการปฏิบัติ การปฏิบัตินี้ก็ต้องปฏิบัติให้มีผลสำเร็จ ถ้าปฏิบัติผิด ๆ มันก็เหมือนกับไม่มี
ดังนั้นความสำคัญมันอยู่ที่ปฏิบัติถูกต้องแล้วได้ผลจริง นี่คือข้อสำคัญที่ว่าเราจะต้องนึกกันให้มาก ว่าถ้าจะถ้าต้องการจะสนองพระพุทธประสงค์ของพระองค์จริง ๆ แล้ว ต้องรีบปฏิบัติให้เกิดเป็นการปฏิบัติขึ้นมาจริง ๆ มีหน้าที่อย่างไรจงทำหน้าที่อย่างนั้น ไม่ว่าปฏิบัติหน้าที่ชนิดไหน ขอให้เป็นการเสียสละออกไปซึ่งความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู เรียกให้ไพเราะสักหน่อย ก็เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว ผู้ใดกระทำลงไปในทาง กาย วาจา ใจ มีผลเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวแล้ว นั่นเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมในพระศาสนานี้เสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือเป็นฆราวาส ต่อให้เป็นบรรพชิตเรียนจบพระไตรปิฎก แต่ถ้ามีแต่ความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เท่ากับไม่ได้ปฏิบัติอะไร บางทีจะเป็นคนหลอกลวงที่หมกซ่อนอยู่ในพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป ทีนี้เป็นชาวบ้านธรรมดาหนังสือก็ไม่รู้สักตัวหนึ่ง เป็นคนเงอะ ๆ งะ ๆ แต่ว่าทำอะไรลงไปจะเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวเสมอ แม้แต่จะเสียสละอะไรสักนิดหนึ่งก็เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว จะมีเหงื่อไหลไคลย้อยอะไรบ้างก็เพื่อสละความเห็นแก่ตัว คนอย่างนี้เสียอีกเรียกว่า เป็นคนปฏิบัติธรรมะ เป็นคนมีธรรมะ เป็นคนอยู่ด้วยธรรมะ ตรงตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า นี่ยกตัวอย่างอย่างนี้ ไม่ใช่จะกระทบกระเทียบใครผู้ใด แต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมะนั้น มันมีความหมายเป็นการทำลายความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู
สมมติว่าจะเป็นพวกแม่ครัวทำอาหารเลี้ยงพระ ถ้าจะเกิดบุญกุศลสูงสุดอย่างยิ่งแล้วตลอดเวลานั้น ต้องทำเพื่อทำลายกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว จะเป็นอุบาสก อุบาสิกา กวาดลานวัด มันก็ต้องทำในลักษณะที่การกระทำนั้น เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ทำเพื่ออวดคนว่า แหม๋! นี้มันเก่งจริง ถ้าทำเพื่ออวดคนมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว มันกลายเป็นไม่มีธรรมะ แต่ถ้าทำด้วยน้ำใจบริสุทธิ์ก็จะทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็มีธรรมะ นี่เรียกว่างานชั้นต่ำ ๆ ไม่ได้สุดแต่จะกวาดลานวัด ก็ยังต้องทำด้วยจิตใจอย่างนั้น เมื่อทำอยู่ด้วยจิตใจอย่างนั้นมันไม่ใช่แต่เพียงกวาดลานวัด มันกวาดกิเลสในหัวใจด้วย มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกับที่เขาปฏิบัติธรรมกันอย่างอื่นที่มีหน้ามีตาแต่ระวังให้ดี การปฏิบัติธรรมที่มีหน้ามีตานั้นมักจะเป็นการหลอกลวงเสียโดยมาก คือคือทำเพื่อเอาดีเอาเด่น เพิ่มความเห็นแก่ตัวเสียเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นจะทำอะไรสักนิดหนึ่ง ก็ขอให้ทำเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นพระเป็นเณร จะเรียนนักธรรม เรียนบาลี ก็ต้องทำเพื่อเกิดความสามารถในการที่จะทำลายกิเลสคือความเห็นแก่ตัว ถ้ามันเรียนเพื่อจะสอบไล่ได้เอาดีเอาเด่นแล้วมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ไม่เป็นการปฏิบัติธรรม ถึงแม้ว่าจะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในที่ไหน ในป่าในถ้ำหรือที่ไหนก็ตาม ถ้ามันทำไปด้วยโมหะ ด้วยมิจฉาทิฐิ ที่จะดี จะเด่น จะเก่ง อะไรทำนองนี้ มันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว มันไม่รู้จักความทุกข์ แล้วก็จะไปทำความดับทุกข์นี้ก็คือโง่ หรือทำไปด้วยโมหะ ถ้ารู้จักความทุกข์มันก็รู้ว่า ไอ้ความทุกข์นี่มันมาจากความเห็นแก่ตัว คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน
ดังนั้นจะไปทำอะไรที่ไหน อย่างไรก็ได้ ถ้ามันทำลาย กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่เป็นความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เป็นการดับทุกข์ หรือเป็นการทำกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา นี่แหละเรียกว่า ต้องระวังให้ดีที่สุดเพียงข้อเดียวว่าจะทำอะไรในพระพุทธศาสนานี้ให้ถูกตรงตามพระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องทำในลักษณะที่เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวทุกอย่างทุกประการตามที่จะทำได้ นับตั้งแต่บรรพชิตที่จะปฏิบัติสมณธรรมวิปัสสนากรรมฐาน อะไรลงมาถึงการศึกษาเล่าเรียน ถึงการเป็นอยู่ในวัดแม้แต่คนจะกวาดวัด แม้แต่คนจะหุงข้าวใส่บาตร ที่วัดหรือที่บ้านก็ตามใจ ทุกอย่างต้องให้มีความจริงแท้แน่นอนอยู่ที่ว่ามันเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว ระวังอย่าระวังให้ดีอย่าให้เป็นการเพิ่มความเห็นแก่ตัว ทำบุญบาทเดียวจะเอาวิมานหลังหนึ่งเอาสวรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว นี้ทำบุญลงไปเท่าไร ก็ขอให้ความเห็นแก่ตัวมันหมดไปเท่านั้น ทำบุญสตางค์เดียวก็ให้ความเห็นแก่ตัวมันหมดไปตามคุณค่าตามค่าของสตางค์เดียว ทำบุญร้อยบาท พันบาท แสนบาท อะไรก็ตาม มีความยึดมั่นถือมั่นเท่าไรมันก็จะได้หมดไปเท่านั้น นี่เรียกว่า ทำบุญเพื่อความเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าทำอยู่อย่างนี้ ไม่เท่าไรใจก็จะค่อยสะอาดขึ้น สะอาดขึ้น จะมีความสว่างขึ้นและมีความสงบเย็นลง
ผู้ใดทำบุญในลักษณะที่เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวก็ทำไปเถิด ทำไป ทำไป ใจก็จะมีความสะอาด สว่าง สงบ เพิ่มขึ้น แต่ถ้าทำไปเพื่อค้ากำไรเกินควร มันก็เป็นการเห็นอยู่แล้วว่ามันเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันก็ต้องไม่มีความสะอาด สว่าง สงบเพิ่มขึ้น บางทีมันจะมืดมัวและเร่าร้อนมาแทน คนที่ทำบุญมาก ๆ แล้วยังเป็นโรคเส้นประสาท นอนไม่หลับ นี้ก็เพราะว่าทำบุญแต่ชนิดที่ค้ากำไรเกินควร จะเอาบุญที่เป็นกำไรมากเกินไป เพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งทำบุญมากอาจจะยิ่งนอนไม่หลับ จะยิ่งร้องไห้เก่งหรือมีความทุกข์อย่างอื่นอีก แต่ถ้าทำบุญชนิดที่เหมือนกับว่าขว้างทิ้งไป ไม่ใช่ประชดประชันใครแต่จะประชดประชันความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในใจ นี่มันเป็นที่ตั้งของความเห็นแก่ตัวขว้างทิ้งไปทำอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ จิตใจก็จะค่อย ๆ สะอาด สว่าง สงบ ขึ้นมา เพราะมีความขูดเกลามีการขูดเกลาความเห็นแก่ตัว นี่เป็นข้อที่จะต้องพิจารณากันดูให้ดี ๆ มองไปรอบๆ ว่าทำบุญทำทาน ทำกุศลกันอยู่ในทุกวันนี้ ทำเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัวหรือว่าเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ถ้าลดความเห็นแก่ตัวย่อมเป็นการถูกต้องแน่แล้วก็ตรงตามพระพุทธประสงค์ เพราะว่าธรรมวินัยอันใดที่พระองค์ทรงแสดงแล้วบัญญัติแล้วนั้นเป็นไปเพื่อความขูดเกลา ขูดเกลาก็คือขูดเกลากิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว เมื่อเรามีการกระทำอยู่อย่างนี้ธรรมวินัยที่แท้จริงก็มีอยู่อย่างจริงอย่างแท้จริงไม่ใช่มีอยู่เพียงตัวหนังสือ ไม่มีใช่มีอยู่เพียงการท่องบ่น แต่มีอยู่ในรูปของธรรมวินัยที่แท้จริง คือเป็นพระพุทธเจ้าจริง ๆ ยังอยู่กับเรา เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์ได้จริงตลอดเวลาดังนี้ นี่แหละเป็นเรื่องสงครามเพียงเรื่องเดียวที่ทุกคนจะต้องชำระสะสาง
ขออภัยที่ต้องใช้คำว่า ชำระสะสาง เพราะว่ามันชักจะมืดมัว ยุ่งเหยิง สับสน เศร้าหมองมันมากกันอยู่มาก ดังนั้นจะต้องทำในลักษณะที่เรียกว่าเป็นการชำระสะสาง ไม่ใช่ต้องไปประจานตัวเองต่อหน้าใครทำได้คนเดียวตามลำพังตน แต่ขอให้เป็นการชำระสะสางตนด้วยจิตใจของตนที่ที่ยุติธรรม อย่าให้กิเลสมันมาครอบงำแล้วเข้าข้างตัว ชำระตัวเองเป็นดีไปหมดเพราะไม่มีใครรู้ใครเห็น ยิ่งไม่มีใครรู้ใครเห็นนั่นแหละจิตใจควรจะเป็นอิสระ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้รู้ถูก รู้ทุกสิ่งที่มันมีอยู่อย่างไร แล้วก็ตัดสินลงไปว่ามันผิดถูกอย่างไร ที่ผิดก็ต้องขจัดออกไป ที่ถูกก็ต้องพยายามทำต่อไปให้มันมากขึ้น มีความตั้งใจแน่วแน่อธิษฐานจิตแน่วแน่ ในการที่จะทำให้มันถูกต้องยิ่งขึ้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นการชำระสะสาง เหมือนกับบ้านมันรกรุงรังนักแล ก็รื้อมาชำระสะสาง ทิ้งสิ่งที่ควรทิ้งเสียให้หมด ปัดกวาดฝุ่นละอองสกปรกต่าง ๆ ไปเสียให้หมด ให้มันเหลือแต่สิ่งที่มีประโยชน์จำเป็นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จงทำกับจิตใจเหมือนที่ชอบทำกับบ้านเรือนอยู่เสมอไปไม่เท่าไรก็จะมีจิตใจ สะอาด สว่าง สงบ คือได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือจิตใจที่สบาย อยู่ได้ในตัวมันเอง สงบเย็นอยู่ได้ในตัวมันเอง ไม่มีควาทุกข์ไม่มีความร้อน ทุกข์ร้อนก็ทำไม่เป็น แม้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นก็ทุกข์ร้อนกับเขาไม่เป็น ความเจ็บไข้มาถึงก็ทุกข์ร้อนไม่เป็น ความตายจะมาถึงก็ทุกข์ร้อนไม่เป็น มันก็มีแต่ความไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนถึงลมหายใจครั้งสุดท้ายก็สิ้นเรื่องกัน เกิดมาทีหนึ่งได้อย่างนี้ก็พอแล้ว
นี่พระพุทธเจ้าท่านต้องการว่าทุกคนที่เกิดมาจงได้อย่างนี้จึงจะเป็นสาวกที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์อย่างนี้ เราเป็นลูกหนี้ของท่านเราก็ต้องสนองพระพุทธประสงค์ด้วยการทำอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่จะบูชาคุณหรือว่าใช้หนี้ให้แก่พระพุทธองค์อย่างเพียงพอกันทีเดียว มันจะเป็นการใช้หนี้ทีละล้านๆ ล้านบาทขึ้นมาได้ทีเดียว ไม่ใช่มัวใช้หนี้ทีละสตางค์สองสตางค์อยู่ ขอให้ไปคิดดูให้ดีเถิดว่าวันนี้จะบูชาคุณของพระองค์ด้วยอะไร จะด้วยเพียงแต่เวียนเดินเวียนสามรอบหรือจะว่าบูชาอย่างนั้นบูชาอย่างนี้หรือว่าจะคิด ๆ นึก ๆ ว่าวันนี้เป็นวันแสดงธรรมจักร ก็มาเวียนเทียนเสียหน่อยอย่างนี้มันไม่พอ มันเหมือนกับเป็นหนี้ตั้งเป็น ล้านล้านบาทแล้วมัวใช้ที ๕ บาท ๑๐ บาทหรือบางทีจะใช้เพียงสตางค์เดียวและถ้ามาตั้งใจเสียใหม่ว่าสิ่งใดเป็นพระพุทธประสงค์ สิ่งนั้นจะทำอย่างสุดสามารถ สุดชีวิตจิตใจโดยแท้จริงไม่บิดพลิ้ว ให้ตรงตามพระพุทธประสงค์นั้น นั่นแหละจะเป็นการใช้หนี้ทีละหมื่น ละแสน ละล้าน ให้หนี้นั้นมันเบาบางไปโดยเร็วได้หรือถ้าจะมองกันในแง่ของการบูชามันก็เป็นการบูชาที่เหมาะสมกันไม่ใช่เอาขยะมูลฝอยไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการล้อเล่นซึ่งจะต้องระวังให้ดี ดอกไม้ธูปเทียนเหล่านี้มันจะเป็นขยะมูลฝอยหรือว่ามันจะเป็นเครื่องบูชาที่มีค่ากับจิตขึ้นมา มันก็อยู่ที่จิตใจของผู้ที่ถือเครื่องสักการะนั้นอยู่ในมือว่ากำลังทำจิตใจอย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายจงกระทำในใจให้ถูกต้อง
ในโอกาสอันสำคัญเป็นพิเศษในโอกาสนี้คือจะทำอาสาฬหบูชาในวันนี้ ธรรมเทศนานี้ไม่ได้เป็นการแสดงธรรมะอะไรมากมายนักเป็นเพียงการแสดงให้ทราบถึงบุพพภาคเบื้องต้นของการที่จะทำอาสาฬหบูชา ว่าเราจะต้องทำ กาย วาจา ใจ อย่างไร จึงจะเป็นการทำอาสาฬหบูชาที่มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ แล้วจะได้กระทำไปโดยโอกาสอันสมควร โดยหวังว่ามันจะดีกว่าปีที่แล้วมา มันจะมีผลยิ่งกว่าปีที่แล้วมา ด้วยการที่สามารถทำจิตใจได้ดีกว่าปีที่แล้วมานั่นเอง ขอท่านทั้งหลายทุกคนจงสำรวมระวังในข้อนี้ โดยนัยดังกล่าวมานี้แล้ว ทำอาสาฬหาบูชาจะได้รับผลสมตามความปรารถนาด้วยกันจงทุกๆคนเทอญ สำหรับเทศนาสมควรแก่เวลาเอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ สาธุ…..
ขอให้ชำระความโง่บางอย่างออกไปเสียจากจิตใจ จิตใจยังยังมีความโง่ ไม่สมควรจะเป็นเครื่องรองรับสักการะธูปเทียนดอกไม้และบูชา ความโง่ข้อแรกที่เป็นห่วง ก็คือว่า มักจะยึดมั่นถือมั่นว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทิศนั่น อยู่ทิศนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ทางอินเดีย ต้องหันหน้าไปทางอินเดีย อยู่ตรงนี้ต้องหันหน้าไปทางประเทศอินเดีย หรือพระพุทธเจ้าอยู่ทางนั้น พระพุทธเจ้าอยู่ทางนี้ จึงต้องเอาพระพุทธรูปมาตั้งที่นี่ แล้วพระพุทธเจ้าจะอยู่กับพระพุทธรูป นี่โง่ ความโง่นี้ทั้งหมด พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่กับพระพุทธรูปหรือไม่ได้อยู่ทิศนั้นทิศนี้ พระธรรมหรือพระพุทธเจ้านั้นคือตัวความว่าง แต่ไม่มีรูปภาพ ไม่มีรูป ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง อยู่แค่ไหนบอกไม่ได้ จึงบอกว่าอยู่ทุกแห่ง อยู่ทุกหนทุกแห่ง สิ่งที่จะอยู่ทุกหนแห่งไม่มีอะไรนอกจากความว่าง โดยเฉพาะสุญญตาคือความว่างจากตัวกู ของกูนี่ จะอยู่ทุกหนทุกแห่งนั่นน่ะคือพระพุทธเจ้า ไวพจน์ของพระพุทธเจ้ามีอยู่ว่า อมิตาภะ แปลว่า มีแสงสว่าง คำนวณไม่ได้ อมิตายุส มีอายุ คำนวณไม่ได้ คือ มีอายุ มีแสงสว่าง คำนวณไม่ได้ หมายความว่าวัดไม่ได้ตวงไม่ได้ชี้ไม่ได้ ไม่รู้อยู่แค่ไหน คือมันอยู่ไปทุกหนทุกแห่ง ถ้าเราเอาพระพุทธรูปมาตั้งนี่ เพื่อจะแสดงสัญลักษณ์ถึงความว่างหรืออยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่พระพทุธรูปตั้งอยู่ตรงนี้แล้วพระพุทธเจ้าจะอยู่ตรงนี้
พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ใช่เนื้อหนัง ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นคุณธรรมคือสูงสุดคือว่างจากกิเลสว่างจากความทุกข์ ในความว่างจากกิเลสจากความทุกข์มันอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระพุทธรูปนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์คือให้นึกถึงความว่างซึ่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง หรือว่าเอาเพียงสัญลักษณ์จะได้เวียนทางกาย เป็นการแสดงความเคารพทางกาย แต่ถ้าทางใจแล้วเขาให้ถือว่าพระพุทธเจ้าแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ เช่นรูปพระพุทธรูป เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่มีขนาดจึงใหญ่เต็มไปทั่วทั้งหมดในที่ว่างทั้งปวง เราขอร้องให้หลับตา หลับตา อย่าให้มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง ไม่มีอะไรทำจิตใจชั่วขณะนี้ให้เป็นความว่างจากตัวกูว่างจากของกู ว่างจากสิ่งที่เป็นอนิจจัง สุขขัง อนัตตา แล้วก็กล่าวคำบูชา อุทิศพระพุทธเจ้าชนิดนั้น ไม่ต้องนึกถึงประเทศอินเดีย ไม่ต้องนึกถึงพระพุทธรูป ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าจริงคือความว่าง ถึงแม้ว่าถ้อยคำนี้จะได้เรียบเรียงไว้ตามภาษาชาวบ้านลักษณะเมื่อเป็นคนเมื่อจำกัดเพศอย่าไปยึดถือข้อความคำพูดนี้ พูดตามธรรมเนียมว่าตามธรรมเนียม หัวใจขอให้เป็นความว่าง แล้วบูชาด้วยการเข้าถึงความว่างเพื่อถึงตัวความว่าง ภิกษุสามเณรว่าภาษาบาลี ชาวบ้านเขาจะได้ว่า ภาษาไทย
นาทีที่ 67:09 – 92.34 ไม่ได้ถอดเสียงเป็นบทสวดมนต์และไม่มีใจความสำคัญ