แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาปรารภวิสาขบูชา ทั้งมีความมุ่งหมายแต่เพียงเพื่อจะเป็นเครื่องชี้แจงให้กระทำในใจให้แยบคาย ให้ได้รับประโยชน์อานิสงส์จากการทำวิสาขบูชาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นจึงขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังโดยแยบคายให้สำเร็จประโยชน์เถิด การที่จะได้รับอานิสงส์ของวิสาขบูชาเต็มที่นั้นจะต้องกระทำในใจให้เป็นอย่างดี ให้เกิดความรู้สึกในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดศรัทธา ให้เกิดปีติ ให้เกิดปราโมทย์โดยแท้จริงขึ้นมา จึงจะมีผลเต็มที่ตามความมุ่งหมาย ด้วยเหตุเช่นนี้เราจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆตามสมควรเป็นลำดับไป
ข้อแรกที่สุดนั้นจะต้องระลึกนึกถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งตัวเราด้วยได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ อาจจะได้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ก็ได้ หรืออย่างน้อยก็ได้มากกว่าที่จะไม่เคยได้ ได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ แต่ที่จะให้ได้มากที่สุดนั้นก็คือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนให้ได้มากเท่าไร ส่วนวันนี้นั้นเป็นวันกำหนดไว้สำหรับระลึกถึงพระคุณอันนั้นเป็นประจำปี ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีความสำคัญแก่วันเช่นวันนี้นั้น ดังที่ทราบกันอยู่แล้วก็คือว่าเป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้ และเป็นวันปรินิพพาน กล่าวอย่างปาฏิหาริย์ว่าเป็นวันเดียวกันคือวันเช่นวันนี้ นี้ก็เป็นการเชื่อถือของพุทธบริษัทกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มของพุทธบริษัทฝ่ายเถรวาทอย่างประเทศไทยเรา ส่วนพุทธบริษัทอีกฝ่ายอื่น เช่น ฝ่ายมหายานเป็นต้นนั้น หาได้ถือว่าพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกันเช่นวันนี้ไม่ ข้อนี้เราจะมีความเข้าใจกันอย่างไรจึงจะไม่เป็นที่ขัดขวางกัน ถ้าสมมติว่าคนที่เป็นนักศึกษาแห่งยุคปัจจุบันจะมาพูดขึ้นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เราจะมีคำอธิบายอย่างไรถ้าเราจะยึดถือเอาว่าการประสูติ และการตรัสรู้ และการปรินิพพานมีในวันเดียวกันเช่นวันนี้นั้น ก็กล่าวได้ว่าเป็นการถือในลักษณะที่เป็นปาฏิหาริย์ และถือว่าสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์นั้นก็มีได้จริงและมีอยู่จริง แต่ถ้าว่าจะให้เป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนในสมัยปัจจุบัน ก็จะต้องแปลความสำคัญของ ๓ คำนี้ให้เป็นที่ถูกต้อง คือคำว่าประสูติก็ดี คำว่าตรัสรู้ก็ดี คำว่าปรินิพพานก็ดี แม้จะแตกต่างกันโดยคำพูดแต่ความหมายนั้นเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าพูดอย่างภาษาคนธรรมดา ประสูติก็คือประสูติ ตรัสรู้ก็คือตรัสรู้ นิพพานก็คือนิพพาน คือการเกิด และการตรัสรู้ และการตาย แต่ถ้าจะพูดอย่างภาษาธรรมหรือเป็นภาษาที่ลึกซึ้งกว่าธรรมดาแล้ว เป็นภาษาที่ผู้รู้ใช้พูดกันแล้ว การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานก็มีทางที่จะเป็นสิ่งๆ เดียวกันได้ การประสูติก็หมายเอาการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า มิได้หมายถึงการเกิดจากท้องพระมารดาก็ได้ คำว่าเกิดในที่นี้คือเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดเมื่อไร เกิดในขณะที่เป็นการตรัสรู้ เกิดที่ไหน เกิดที่ใต้โคนต้นโพธิ์นั่นเอง แต่ถ้ากล่าวอย่างภาษาธรรมดาก็เกิดที่สวนลุมพินีใต้ต้นสาละ อย่างนี้มันก็ต่างกัน แต่ถ้าถือว่าการเกิดเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละคือการเกิดที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า การเกิดอย่างธรรมดาสามัญมันก็เหมือนๆกันทุกคน ไม่น่าจะสนใจอะไร การเกิดที่น่าสนใจคือการเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้เกิดหรืออุบัติขึ้นในโลกนี้ ในลักษณะที่เป็นอุปปาติกกำเนิดคือเกิดผลุงขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ที่ใต้โคนต้นโพธิ์นั่นเอง เมื่อมีการตรัสรู้ก็หมายความว่ามีการเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นพระพุทธเจ้ากับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ทีนี้ก็มาถึงคำว่าปรินิพพาน ปรินิพพานแปลว่าดับสนิท ดับรอบ นี้หมายถึงการสิ้นไปแห่งกิเลส มิได้หมายถึงการแตกตายทำลายของร่างกายซึ่งมันไม่มีความหมายอะไร ไม่มีประโยชน์อะไร ตรงนี้จะต้องวินิจฉัยกันถึงคำว่าปรินิพพานสักหน่อย นิพพานมีอยู่ ๒ อย่างตามที่เข้าใจกัน คือ สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน ถ้าถือเอาตามคำอธิบายในพระคัมภีร์พระไตรปิฎกเอง เช่น คัมภีร์อิติวุตตกะนิบาต เป็นต้น นิพพานทั้งสองอย่างนี้มีความหมายเป็นการสิ้นไปแห่งกิเลส ยังเป็นๆ ไม่เกี่ยวกับการตายเลย แต่ที่สอนกันอยู่ตามที่บางแห่งแม้ในโรงเรียนสอนกันว่า สอุปาทิเสสนิพพาน นั้นหมายถึงสิ้นกิเลส อนุปาทิเสสนิพพาน นั้นหมายถึงตาย ทำลายเบญจขันธ์ อย่างนี้ไม่ถูกต้องตามพระบาลีที่มีอยู่ในคัมภีร์อิติวุตตกะในพระไตรปิฎก จะเปรียบความข้อนี้ให้เห็นชัดๆก็ต้องเปรียบด้วยนิพพานของวัตถุ เช่นว่าถ่านไฟแดงๆ เอาน้ำสาดให้ดับ เป็นสีดำ ดับสนิทแล้วแต่ไออุ่นหรือความร้อนยังมีอยู่ ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งความอุ่นหรือไอร้อนนั้นจึงจะเย็นสนิท สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงเมื่อแรกดับไออุ่นยังเหลืออยู่ คือพระอรหันต์ ทีแรกปรินิพพานในลักษณะนี้ ยังมีอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เคยชินกับการกระทบตามธรรมดาสามัญมาแต่หนหลัง ดังนั้นเมื่อมีอะไรมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ย่อมมีความรู้สึกต่อเวทนานั้นบ้าง แต่ถ้าเมื่อใดเป็นพระอรหันต์ชนิดที่ล่วงไป ล่วงไปแล้วมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คืออายตนะ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว แม้จะไม่มี แม้จะมีอะไรมากระทบก็ไม่มีความรู้สึกที่เป็นความโกลาหล รู้สึกเป็นเวทนาชนิดที่ทำลายความสงบ ขอให้สังเกตความแตกต่างกันอย่างนี้ แล้วก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่เรียกว่านิพพานก็ดี ปรินิพพานก็ดี หรือนิพพานธาตุก็ดีบรรลุได้ในขณะที่ร่างกายยังเป็นๆ ยังไม่ต้องตาย การที่จะพูดว่า อนุปาทิเสสนิพพาน บรรลุได้เมื่อตายนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันมีประโยชน์เต็มที่คือเย็นสนิท เรื่อยไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของเบญจขันธ์ที่จะแตกทำลายไปตามธรรมดา อันนั้นไม่ใช่นิพพาน นิพพานอยู่ที่ความสิ้นไปแห่งกิเลส ในตอนแรกๆยังมีไออุ่นเหลืออยู่ ในตอนถัดมา หมดไออุ่นโดยสิ้นเชิง เย็นสนิทแล้ว พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัส อนุปาทิเสสนิพพาน โดยข้อความที่ต่างกันนิดเดียวว่าเวทนาทั้งหลายของเธอนั้นจัดเป็นของเย็น หมายความว่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจชนิดที่อะไรๆมากระทบแล้วทำความวุ่นวายระส่ำระสายไม่ได้ ไม่เหมือนกับเมื่อแรกเป็นพระอรหันต์ ยังมีการเคยชินในการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ววุ่นวายได้ แม้ไม่เกิดกิเลสก็มีความรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเป็นดังนี้ก็มีหลักเกณฑ์ที่จะกล่าวได้ว่าสิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นไม่ใช่หมายถึงตายทางร่างกาย แต่หมายถึงการตายของกิเลส การตายของสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู เมื่อตัวกูของกูดับไปก็เรียกว่าปรินิพพาน แล้วตัวกูของกูหรือกิเลสนี้ ดับไปเมื่อไรสำหรับพระพุทธเจ้า มันก็ดับไปแล้วเมื่อตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั่นเอง เพราะฉะนั้นที่ตรงโคนต้นโพธิ์นั่นเอง มีทั้งการประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพาน เมื่อเราอธิบายอย่างนี้ไอ้คนที่เป็นนักศึกษาแม้สมัยนี้ก็ค้านไม่ได้ แล้วก็คงรักษาคำพูดเดิมไว้ได้ว่าการประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานนั้นมีในวันเดียวกัน พูดว่ามีในวันเดียวกันยังจะมากไปเสียอีก จะต้องพูดได้ว่ามีในวินาทีเดียวกัน นี่เป็นคำอธิบายสำหรับผู้ที่จะถือเอาตามเหตุผล ตามการศึกษาของเขา เราก็ควรจะอธิบายแก่เขาอย่างนี้ ถ้าในวงพวกเราด้วยกันที่ไม่สมัครจะวินิจฉัยวิพากษ์วิจารณ์อะไร ก็พึงถือได้ตามที่ถือมาแต่เดิมๆว่าการประสูติ การตรัสรู้ การปรินิพพานนั้นก็มีในวันเดียวกัน ถ้าไปพูดกับพวกอื่น เช่น พวกฝ่ายมหายาน เป็นต้นเราก็อย่าไปขัดคอเขา เพราะเขาถือว่าประสูติก็วันหนึ่ง ตรัสรู้ก็อีกวันหนึ่ง นิพพานก็อีกวันหนึ่ง แต่เราก็จะบอกเขาว่าเราไม่ถืออย่างนั้น เพราะเราไม่ถือเอาการเกิดทางกายเป็นหลัก ไม่ถือเอาการตายทางร่างกายเป็นหลัก เราถือเอาการเกิดทางนามธรรมเป็นพระพุทธเจ้าเป็นหลักเมื่อมีการตรัสรู้นั่นเอง แล้วก็มีการตายไปแห่งกิเลสโดยสิ้นเชิงในขณะที่ตรัสรู้นั่นเอง พูดไปอย่างนี้ก็ไม่เสียเหลี่ยมครูของเถรวาทแต่ประการใด ยังจะเป็นการทำให้เกิดความเลื่อมใสแก่ฝ่ายมหายานได้ด้วย หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้กระทำในใจให้มีความเข้าใจในข้อนี้ จนมีความเชื่อลงไปจริงๆว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกัน ในวินาทีเดียวกัน โดยนัยยะดังที่กล่าวมานี้ แล้วการที่กล่าวถ้อยคำวิสาขบูชาของเราในวันนี้ก็จะเป็นจริง คือตรงกันทั้งใจ ตรงกันทั้งปาก ไม่มีอะไรขัดขวางกันเลย นี้เป็นข้อแรกที่ขอตักเตือนท่านทั้งหลายว่าจงได้พยายามที่ทำความเข้าใจ ขจัดสิ่งขัดข้องสงสัยนานาประการให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ ไม่มีความสงสัยใดๆเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ที่สุดแต่เรื่องที่เป็นปาฏิหาริย์ เช่นว่าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานมีในวันเดียวกันดังนี้
ทีนี้ก็จะได้พิจารณากันถึงข้อที่ว่าการตรัสรู้ ซึ่งเป็นทั้งการประสูติและการปรินิพพานนั้นมันเป็นอย่างไร การตรัสรู้หมายถึงการรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้กิเลสสิ้นไปโดยไม่มีส่วนเหลือ รู้ข้อนี้เรียกว่าตรัสรู้ ถ้ากิเลสยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิงก็ไม่มีทางที่จะรู้ข้อนี้ ในเวลาที่ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั้นเป็นเวลาอรุณ รุ่งอรุณของเวลาเช้า ส่วนตามเรื่องราวที่เป็นตำนานนั้นการประสูติในสวนลุมพินีนั้นมีในเวลากลางวัน ตอนเที่ยง และในเวลาปรินิพพานโดยทางร่างกายนั้นก็มีในตอนเย็น ที่อุทยานอีกแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ ๓ แห่ง เป็นเวลา ๓ อย่าง เดี๋ยวนี้เรามาทำความเข้าใจกันในข้อที่ว่าไอ้ทั้ง ๓ อย่างนั้นมารวมอยู่ที่เป็นเวลาตรัสรู้ คือรู้ความที่กิเลสหมดไป รู้ความที่มีผลอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ความที่กิเลสหมดไป ก็รู้อย่างที่เราพูดกันอยู่ว่ารู้ความที่ตัวกูของกูดับสิ้นไปไม่มีเหลือ คือรู้ว่าเดี๋ยวนี้กิเลสอันเป็นเหตุให้เวียนว่ายในวัฏสงสารนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถึงที่สุดแห่งการเวียนว่ายในวัฏสงสาร การถึงที่สุดแห่งการเวียนว่ายในวัฏสงสารนี่แหละจะมองดูในฐานะที่เป็นการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าก็ได้ การตรัสรู้ก็ได้ การปรินิพพานก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้หลายอย่างเช่นว่าตลอดเวลาที่ยังไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ ก็ยังไม่ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดเวลาที่ยังไม่รู้ปฏิจสมุปบาทโดยสิ้นเชิงก็ยังไม่ปฏิญญาว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น มันมากเรื่องมากราว หลายเรื่องหลายราว แต่แล้วทุกเรื่องเป็นเรื่องเดียวกันคือความสิ้นไปแห่งกิเลส และไม่มีความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นมาได้อีกต่อไป ในขณะใดมีลักษณะอย่างนั้น ในขณะนั้นเรียกว่าการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อย่างนี้ก็คือการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า และการดับสนิทไม่มีส่วนเหลือของสิ่งที่เรียกว่าอุปาทาน ซึ่งเป็นชื่อแทนของกิเลสทั้งหลาย บางทีก็เรียกว่าตัณหา บางทีก็เรียกว่าอวิชชา แต่ที่เป็นตัวให้เกิดแห่งความทุกข์แล้วก็เรียกว่าอุปาทาน ดังพระบาลีว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อกล่าวโดยสรุปโดยย่อแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั้นเป็นตัวความทุกข์ บัดนี้ได้ทำลายอุปาทานที่มีการยึดถือในเบญจขันธ์นั้นสูญสิ้นไปแล้ว คือปรินิพพานไปแล้ว ก็เหลือแต่เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำหรับสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายสืบไป ขอให้พิจารณาให้มีความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าตรัสรู้โดยใจความสำคัญว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วสิ่งนี้ก็ได้มีขึ้นในวันที่เราเรียกว่าวันวิสาขบูชา คือวันเช่นวันนี้ที่เรียกว่าวันเพ็ญ ที่พระจันทร์เสวยวิสาขนักขัตฤกษ์ นี้มันเป็นเรื่องของปฏิทินที่นับกันอยู่อย่างจันทรคติ แต่ถ้าพวกอื่นเขาใช้ปฏิทินอย่างสุริยคติเขาก็นับอย่างอื่น มันก็กลายเป็นวันที่หรือเดือนทางสุริยคติไป มันก็จะไม่ตรงกับวันพระจันทร์เพ็ญเหมือนกับวันเช่นวันนี้ แล้วเราจะไปว่าเขาผิดก็ไม่ได้เพราะเขาถือปฏิทินทางสุริยคติเป็นต้น พวกเราถือเอาปฏิทินธรรมชาติคือดวงจันทร์ เข้าไปสู่นักขัตฤกษ์ชื่อวิสาขเมื่อไรก็ถือว่าวันนั้นได้มาถึงเข้าอีกแล้ว แต่แล้วก็อย่ายึดมั่นถือมั่นกันให้มากไปจนถึงกับว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มันถูกด้วยกันทั้งนั้น แม้ดวงจันทร์มันก็ไม่ได้มีความเที่ยงแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ แม้ดวงอาทิตย์มันก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ เราจะถืออย่างสุริยคติก็ได้ อย่างจันทรคติก็ได้ อย่าได้ทะเลาะกันในเรื่องนี้ แต่เมื่อเราได้ถือเอาจันทรคติมาเป็นหลักมานมนานแล้วก็คงถือต่อไป ดังนั้นจึงเป็นที่ยุติหรือแน่นอนแก่ใจว่าเมื่อไรพระจันทร์เต็มดวงอยู่ในกลุ่มของดาวฤกษ์ชื่อวิสาขแล้วเราจะถือโดยสมมติว่านี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ มีการเกิดเป็นพระพุทธเจ้า และมีการปรินิพพานไปของกิเลสทั้งหลายเรียกว่าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน มีแล้วอย่างแท้จริงในวันเช่นวันนี้ นี้คือเรื่องฝ่ายของพระพุทธเจ้า
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องฝ่ายพวกเรา เราจะทำอย่างไรกับพระพุทธเจ้าในกรณีนี้ เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้วว่าเราจะบูชาพระองค์ในโอกาสเช่นนี้ ทีนี้ก็มีปัญหาว่าพระพุทธองค์ โดยส่วนพระองค์เป็นผู้ทรงคุณสมบัติประเสริฐสุดเหลือที่จะพรรณนาได้ และโดยส่วนที่เกี่ยวกับพวกเรา พระองค์ก็มีบุญคุณ มีหนี้เหนือศีรษะเราอย่างที่จะพรรณนาไม่ไหว แล้วเราจะบูชาอย่างไรมันจึงจะสมกันไม่เป็นการเล่นตลก การที่จะจุดธูปเทียนเข้าแล้วก็ถือขึ้นไว้ในมือแล้วก็เวียน เดินเวียนกันสัก ๓ รอบ อย่างนี้มันคุ้มกันไหม มันชดเชยกันได้ไหมกับพระคุณของพระองค์ที่มีอยู่เหนือเรา อาตมาคิดว่าถ้าทำเพียงเท่านี้มันจะเป็นเรื่องเล่นตลกมากกว่า แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นเรื่องเล่นตลก ก็หมายความว่าต้องทำในใจด้วย อย่าเพียงแต่ว่าถือดอกไม้ธูปเทียนแล้วเดินเวียน นี้มันเป็นการสมมติพิธีฝ่ายร่างกาย ส่วนจิตใจนั้นมันมีความหมายว่าเราจะต้องทำอะไรๆในจิตใจให้มันเหมือนกันกับดอกไม้ธูปเทียนที่เราจุดขึ้นหรือถือไว้ในมือเป็นต้น คือจะต้องทำจิตใจให้มีความหมาย เป็นความสะอาด สว่าง สงบเหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้า โดยหลักที่กล่าวได้ง่ายๆว่ามันเหมือนกัน มันเข้ากันมันจึงจะอยู่ด้วยกันได้ ถ้าเรามีจิตใจแตกต่างไปจากพระพุทธเจ้าแล้วเราจะเป็นสาวกของพระองค์ได้อย่างไรจะมาเดินเวียนเทียนในลักษณะเช่นนี้มันก็เป็นการเล่นตลก ฉะนั้นขอให้เตรียมจิตใจเป็นการล่วงหน้าเสียแต่เดี๋ยวนี้ว่าจะมีจิตใจโดยอนุวัต หรือโดยอนุโลมต่อพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ซึ่งมีความสะอาด สว่าง สงบเป็นส่วนสำคัญ แล้วก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเสีย ให้คงเหลือแต่จิตใจที่สะอาด สว่าง สงบแล้วกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระองค์ด้วยปาก ถือดอกไม้ธูปเทียนด้วยร่างกาย แล้วก็เดินเวียนประทักษิณให้มีความหมายครบทั้งกายทั้งวาจาและทั้งจิตใจ จึงจะพอกล่าวได้ว่าเป็นการบูชาที่พอเหมาะสมกันกับที่พระองค์ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงในพระองค์เองดังที่เกี่ยวมาถึงพวกเราด้วย เพราะว่าเราได้ทำสุดความสามารถทุกอย่างทุกประการแล้วเท่าที่เราจะทำได้ เราได้เสียสละทุกอย่างทุกประการแล้วเท่าที่เราจะทำได้ ในวันนี้เราได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกรุ่งอรุณว่าจะทำการบูชาพระพุทธองค์ด้วยปฏิบัติบูชา จึงได้พยายามที่จะให้ทาน พยายามที่จะรักษาศีล พยายามที่จะเจริญเมตตาภาวนา กระทำจิตใจให้ดีที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ แล้วจะอุทิศเวลาทั้งหลายวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้เพื่อเป็นการบูชาจริงๆ เราจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีว่าคืนนี้จะไม่นอน แม้จะต้องใช้ความอดทนมากก็เป็นการบูชาแก่พระองค์ทั้งนั้น เรามีความลำบากเท่าไรในวันนี้ ทั้งหมดนั้นเป็นการบูชาแก่พระองค์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นขอให้กระทำให้สุดความสามารถสุดชีวิตจิตใจจริงๆ ก็ได้ชื่อว่าเราไม่ได้เล่นตลก เรามีการบูชาด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีสิ่งที่เป็นเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆอีก เช่น เราอุตส่าห์พยายามเดินขึ้นมาจนถึงยอดภูเขานี้ มันก็ต้องลำบากกว่าที่เราจะอยู่ที่ตีนเขา ดังนั้นการที่อุตส่าห์ถ่อร่างขึ้นมาจนถึงบนภู ยอดภูเขาก็เพื่อว่าจะให้เกิดความเสียสละ เป็นเครื่องบูชาคุณของพระองค์ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นๆ แล้วบางทีเราจะมานึกว่าพระพุทธเจ้าท่านมีความเป็นอยู่อย่างไร เราจะมีความเป็นอยู่ให้คล้ายพระองค์ให้มากยิ่งขึ้นไป เท่าว่า ให้มากยิ่งขึ้นเท่าที่เราจะทำได้ เรารู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยใช้รองเท้าเลยตลอดชีวิตของพระองค์ เดี๋ยวนี้เราจะทำการบูชาพระองค์ด้วยรองเท้าสวมอยู่ที่เท้า มันจะเป็นอย่างไรบ้าง จึงขอชักชวนท่านทั้งหลายว่าถ้าจะบูชาให้ถึงที่สุดแล้วก็ควรจะถอดรองเท้าออก อย่างน้อยก็เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธองค์สักเวลาหนึ่งว่าพระองค์ไม่เคยสวมรองเท้าเลยตลอดชีวิต มีความรู้สึกต่อการที่ไม่มีรองเท้านั้นเป็นอย่างไร แล้วเราก็ไม่เคยรู้ เพราะว่าเราสวมรองเท้ากันเสียเรื่อย ถ้าอย่างไรก็ลองนึกถึงข้อนี้แล้วเสียสละทุกอย่างทุกประการ จะไม่สวมรองเท้าในการที่ทำบูชา การบูชาแก่พระพุทธองค์ในโอกาสที่สำคัญที่สุดคือโอกาสแห่งวิสาขบูชานี้เป็นต้น ความยากลำบากของพระองค์ในการที่ท่องเที่ยวไปเพื่อโปรดสัตว์นั้นมีมากเท่าไร ถ้าเรารู้สึกในข้อนี้แล้วเราคงจะนอนไม่หลับในคืนนี้ เราอาจจะอยู่สว่างได้ เพราะว่าในจิตใจเราระลึกนึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ท่วมท้นอยู่เหนือศีรษะของเรา ทำไมเราเล่นไพ่สว่างได้ แต่ที่จะบูชาพระพุทธองค์ให้สว่างบ้างเราว่าทนไม่ไหว ถ้าสมมติว่าบุตร ภรรยา สามีเจ็บไข้จะตายลงเดี๋ยวนี้แล้ว เราก็อยู่สว่างได้ เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันเช่นวันนี้โดยแน่นอน ทำไมเราจะนั่งเฝ้าดูพระพุทธเจ้าตรัสรู้ตลอดคืนสักคืนหนึ่งจะไม่ได้หรืออย่างไร ข้อนี้มันขึ้นอยู่ที่ว่าเรามีความเสียสละในจิตใจมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าท่านผู้ใดจะมีการบูชาให้มากยิ่งขึ้นไป ก็จงยินดีรับเอาความลำบากซึ่งจะต้องมีบ้างเป็นธรรมดาสำหรับทำการบูชาให้ถึงที่สุดตลอดวันตลอดคืนในวันเช่นวันนี้ ซึ่งได้เคยกระทำกันมาแล้วแต่หนหลัง มันก็เป็นการพิสูจน์ได้ดีว่าเราทำได้และไม่เหลือวิสัยเลย ดังนั้นจึงเชื่อว่าในวันนี้ก็ต้องทำได้ เช่นเดียวกับที่ทำมาแล้วอย่างเคยในปีก่อนๆ ขอให้เตรียมทั้งกายทั้งวาจาทั้งจิตใจ ทั้งสติปัญญาความคิดเห็นให้พร้อมที่จะทำวิสาขบูชาในโอกาสนี้ด้วยกันจงทุกๆท่านเถิด ท่านผู้ใดกระทำก็ย่อมเป็นส่วนดีหรือเป็นส่วนกุศลของท่านผู้นั้น เพราะฉะนั้นใครทำได้มาก ทำได้สูงสุดอย่างไรก็เป็นอานิสงส์ที่มากด้วยสูงสุดแก่บุคคลนั้นเท่านั้น นี้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ขอตักเตือนอยู่เสมอว่าส่วนสำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่จิตใจ กระทำจิตใจให้ถูกต้อง แล้วส่วนที่เป็นร่างกายเป็นวาจาก็จะถูกต้องไปเอง จงทำในใจถึงพระคุณของพระพุทธองค์ดังที่ได้วิสัชนามาแล้วนี้ ให้อยู่ในใจตลอดเวลา แล้วปากที่ว่า อิติปิโส ภะคะวา นั้นก็จะมีความหมาย ไม่เป็นการกล่าวอย่างนกแก้วนกขุนทอง หรือกล่าวพอเพียงเป็นพิธีรีตองแต่ประการใด แม้การเดินเวียนประทักษิณ ๓ รอบนั้นก็จะมีความหมาย ว่ารอบหนึ่งจะบูชาพระคุณหนึ่ง หนึ่งๆ พระองค์มีพระคุณ ๓ คือ ความสะอาด ความสว่าง และความสงบ เราก็ถือเอานิมิตนี้ทำการประทักษิณสัก ๓ รอบ ก็พอดีกันกับคุณของพระพุทธองค์ที่มีอยู่ ๓ ชนิด แต่ที่ว่าเราจะเวียนเดินไปข้างขวานั้นไม่ใช่เดินอย่างละเมอๆ ด้วยยึดถือความหมายของมือขวา คำว่าขวาหรือประทักษิณนั้นหมายความว่า ถูกต้อง คำว่าซ้ายนั้นหมายความว่าไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นประทักษิณาก็แปลว่าถูกต้อง กรรมะที่เป็นประทักษิณา คือกรรมที่ถูกต้องเป็นกุศล เดี๋ยวนี้เราถือว่าเวียนขวานี้เป็นกรรมที่เป็นกุศลคือเป็นความถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราก็ควรที่จะมีปีติปราโมทย์ อิ่มเอิบอยู่ในจิตใจในขณะที่เดินเวียนประทักษิณสิ้น ๓ รอบ ณ โอกาสนี้ ทั้งหมดนี้เป็นการตักเตือน เป็นการซ้อมความจำแก่ท่านทั้งหลายผู้กระทำวิสาขบูชาให้สมกับที่อุตส่าห์ถ่อร่างมาจากจังหวัดไกล แล้วยังมาลำบากปีนขึ้นมาบนภูเขานี้ แล้วก็เดินเวียนประทักษิณในพื้นดินอันขรุขระอยู่ตามธรรมชาติ ที่ฝ่าพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยกระทบแล้วโดยปราศจากรองเท้าจนตลอดชีวิตของพระองค์
หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจในคำอธิบายนี้อย่างละเอียดลออถูกต้องถึงที่สุด แล้วให้มันแจ่มแจ้งอยู่ในใจถึงที่สุด และทำการเวียนประทักษิณให้เป็นการบูชาอย่างยิ่งสมกับที่วันนี้เป็นวันที่จะต้องทำการบูชาอย่างสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือวิสาขบูชา ในโอกาสที่เป็นการตรัสรู้ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อเหตุอะไร ทั้งนี้เพื่อเหตุว่า นอกจากจะเป็นการย้ำถึงศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสหรือความก้าวหน้าของจิตใจในทางธรรมนี้แล้ว ยังเป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที คนมักจะมองข้ามสิ่งที่เรียกว่ากตัญญูกตเวที เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยไป เรื่องกตัญญูกตเวทีไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องที่จะช่วยให้โลกนี้อยู่รอดได้ เดี๋ยวนี้สัตว์ทั้งหลายเนรคุณพระศาสดาของตนๆ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอน โลกนี้จึงมีความโกลาหลวุ่นวาย ไม่มีสันติภาพ มีแต่วิกฤตการณ์ ถ้าเราจะเป็นผู้มีความกตัญญูอย่างแท้จริงต่อพระศาสดาหรือต่อศาสนา ต่อสิ่งที่มีคุณแล้วโลกนี้ก็ไม่เป็นอย่างนี้ พวกที่ถือศาสนาอื่นก็เป็นอย่างนี้ พวกที่ถือศาสนาพุทธก็กำลังจะเป็นอย่างนี้ แม้โดยไม่เจตนา คือไม่รู้เท่าถึงการณ์แล้วก็ละเลยเสีย มันก็มีผลเท่ากับไม่รู้คุณด้วยเหมือนกัน เมื่อไม่รู้คุณแล้วมันก็ไม่มีการทำอะไรที่เหมาะสมกัน มันก็มีแต่การเสื่อมลงๆ เราก็มีความเสื่อมครอบงำ ทำอะไรผิดๆพลาดๆไปหลายอย่าง เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แก่ใจแล้วว่าในหมู่พุทธบริษัทนี้มีการเปลี่ยนแปลงตกไปสู่วงของไสยศาสตร์ หรือของสิ่งที่ไม่ใช่พุทธศาสนานั้นมากขึ้น เพราะว่าเราเป็นคนมักง่ายอวดดี ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแล้วมันสมน้ำหน้าใคร ลองคิดดูว่าใครเป็นผู้ได้รับความเสียหายที่สุด ก็คือผู้ที่ไม่รู้กตัญญูกตเวทีนั่นเอง นี้เป็นเรื่องที่หยาบคาย เป็นเรื่องที่มันต่ำมากเกินไป แต่จะไม่เอามาพูดกันเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่ามันจะเผลอผลัดตกลงไปในหลุมในเหวอันนั้น แล้วก็สูญเสียความเป็นพุทธบริษัทอย่างน่าใจหาย อย่างน่าเวทนาสงสาร ฉะนั้นขอให้มีจิตใจที่เต็มอยู่ด้วยความกตัญญูกตเวที รู้คุณของพระพุทธ รู้คุณของพระธรรม รู้คุณของพระสงฆ์ แล้วจงมีการเสียสละอย่างสุดความสามารถเพื่อใช้หนี้บุญคุณเหล่านี้อย่างเป็นลูกหนี้ที่ดี เป็นลูกหนี้ที่ซื่อสัตย์ เป็นลูกหนี้ที่ไม่บิดพริ้ว ใครๆก็ต้องการอย่างนี้ แล้วเราก็ควรจะต้องการอย่างนี้ จึงได้ทำตนเป็นผู้เสียสละทุกอย่างทุกประการ จะลำบากมากมายเท่าไรก็จะยอมกระทำ เพื่อใช้หนี้บุญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อพูดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ขอให้เข้าใจเถอะว่ารวมพระธรรมและรวมพระสงฆ์อยู่ด้วย หรือแม้จะพูดว่าพระธรรมก็รวมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ด้วย พูดว่าพระสงฆ์ก็ต้องรวมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ด้วย เพราะว่าพระพุทธนั้นคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระธรรมนั้นคือความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน พระสงฆ์ก็คือผู้ที่มีความรู้ ความตื่น ความเบิกบานตามพระพุทธเจ้าไป อะไรๆมันก็มามีความสำคัญอยู่ตรงที่ว่ามีความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน มีความรู้คือไม่โง่ มีความตื่นคือไม่หลับ มีเบิกบานคือไม่มีความทุกข์เลย เราจะต้องทำตนให้เป็นเหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระธรรม เหมือนพระสงฆ์ คือมีความรู้ ความตื่น และความเบิกบาน มีจิตใจที่สะอาดและสว่างและสงบมันจึงจะมีความรู้ ความตื่น และความเบิกบาน เดี๋ยวนี้ต้องมีจิตใจที่เป็นอย่างนี้จึงจะทำการบูชาวิสาขบูชานี้ได้เต็มตามความหมาย ขอท่านทั้งหลายจงกระทำในใจโดยแยบคาย อย่าได้มีความประมาทมักง่ายแต่ประการใด จงสำรวมจิตใจให้ถึงที่สุด สำรวมกายวาจาให้ถึงที่สุด แล้วกระทำวิสาขบูชาให้ถึงที่สุด ก็จะได้ชื่อว่าเป็นการได้ที่ดี เป็นการกระทำที่ดี เป็นการพยายามใช้หนี้อย่างสุดความสามารถของเราผู้เป็นสัตว์ที่ตกอยู่ในกองทุกข์ นี้คือข้อที่ว่าเป็นการตักเตือนผู้ที่เคยได้ฟังมาแล้วจะลืมเสีย แล้วก็เป็นการบอกแก่ผู้มาใหม่ที่ยังไม่ทราบ ว่าจงได้มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ในจิตใจ แล้วกระทำการบูชาที่เรียกว่าวิสาขบูชาให้เต็มตามความหมาย มีความเจริญในพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ตั้งแต่นาทีที่ 37:50 - 41:06 เป็นบทสวดมนต์
พระบูชาก่อน ขนิษฐาจะคอยสวดพระพุทธคุณให้ อย่าว่าพระเอาเปรียบเลย ชาวบ้านเขาเวียน นี่พระจะต้องบูชาก่อน ชาวบ้านก็เตรียม เตรียมดอกไม้ธูปเทียน เตรียมพร้อม พร้อมจะจุดนะเตรียมให้พร้อม แต่ว่านั่งอยู่ก่อน เตรียมให้พร้อมก่อนจะจุด เตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อม พอบอกให้จุด จุดได้เลยชาวบ้านทุกๆ คน แต่ยังไม่จุด เอ้า,นี่พระจุดทุกองค์เลย ใครมีการเสียสละเตรียมมาจุดเลย ลมพัดแต่ว่าจุดก็แล้วกัน มันดับทีหลังก็ไม่เป็นไร ชาวบ้านนั่งอยู่ก่อน เตรียมให้พร้อม นั่งอยู่ก่อนให้พระถวาย ถวายพร้อมมันไม่เหมาะ คุณพระดุลยภาคมีธูปเทียนแล้วเหรอ มีแล้วเหรอ อ่าว,มีแล้ว ท่านอธิบดีมีแล้วเหรอ คุณสมพงษ์มีแล้ว เอ้า,ต้องขอเชิญมานั่งตรงนี้ เดี๋ยวจะเวียนจะไม่ถูกหลัก นิดเดียวแหละ พอลุกยืนแล้วจะเดินหัวแถว ตรงนั้นหลีกทางให้สำหรับคุณพระจะเดินออกไป เอ้า,จุดแจกกันนะ มีอะไรนี่แจก จุดกันทุกองค์เลย จะเอาแล้ว มานั่งใกล้ๆคุณพระเดี๋ยวเดียวลุกขึ้นยืนเดินสะดวก แล้วจะได้เห็นใกล้ๆ นี่เชื้อนถอยหลังไปนิดหนึ่ง แถวของเชื้อนถอยหลังไปนิดหนึ่งให้ท่านออกทางนั้นได้ ถอยหลังไปนิดหนึ่ง ถอยหลังไปนิดหนึ่ง ถอยหลังไปนิดเดียวพอ ไม่ต้องไปไหนแล้วถอยหลังไปนิดเดียวพอ พอให้เดินทางหน้าออกไปได้เท่านั้นเอง เอ้า,เตรียม เตรียมให้พร้อมก่อนจะจุด ควรจะเตรียมไว้ก่อนไม่พลุกพล่าน เตรียมพร้อมตั้งแต่จะจุด แล้วก็ยังไม่จุด พอบอกว่าจุดแล้วจุดได้ทันที นั่งลงก่อน เอ้า,พวกเรายืนขึ้น เพื่อไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ขอให้ทำในใจว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก จึงบอกว่าให้หลับตาเสีย อย่ามีว่าประเทศอินเดียอยู่ทางไหน ประเทศไทยอยู่ทางไหน อย่ามีความเข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์จริงย่อมอยู่ไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้นตลอดเวลาที่จะกล่าวคำบูชานี้ต้องไม่ถูกหลอกด้วยเรื่องทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ประเทศอินเดียหรือไม่ได้อยู่ที่ประเทศไหน ดังนั้นเราต้องทำจิตใจว่าง ไม่มีเหนือใต้ออกตก ไม่มีบนไม่มีล่าง ไม่มีขวางไม่มีอะไร ถ้ามีจิตใจว่างอย่างนี้ก็จะมีจิตใจที่ถึงพระพุทธเจ้ามากหรือว่าถึงที่สุดได้ ฉะนั้นชั่วขณะหนึ่งที่จะกล่าวคำบูชานี้จงหลับตาเสีย จงเป็นผู้ไม่มีทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ไม่มีบนไม่มีล่าง ไม่มีประเทศอินเดียไม่มีประเทศไทย พระพุทธเจ้าอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ทำใจให้ว่างอย่างนี้แล้วกล่าวคำบูชาซึ่งผมจะเป็นผู้นำ
ตั้งแต่นาทีที่ 45:14 – 53:39 เป็นบทสวดมนต์และพิธีเวียนเทียน
เอ้า,จุดต่อๆ ต่อกันไป ทุกคนจุดแล้วถือไว้ในมือ แล้วประนมมือ แล้วก็ยืนขึ้น ปักไว้ตรงหน้านี้ก็สวยดี ให้คุณทูลมาถ่ายรูปเทียน ทีนี้ต้องยืนแล้ว ต้องยืนแล้ว ต้องเกณฑ์ให้คุณพระดุลยยืนหัวแถวเพราะแก่กว่าเพื่อน ทางขวานี่ ทางนี้ๆยืนหัวแถวทางนี้ แล้วท่านอธิบดี เอ้า,ทุกคนตั้งอกตั้งใจ สำรวมจิตใจอย่างที่ว่ามาเมื่อสักครู่นี้ ทุกอย่างลืมหมด ไม่มีเมืองไทยไม่มีอินเดีย ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ทางนั้นทางนี้ แต่อยู่ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง จะหลับตาเสียก็ได้เพื่อลืมไอ้ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก มีจิตใจว่างเหมือนอวกาศ และในนั่นน่ะจะถึงพระพุทธเจ้า ไม่มีตัวกูไม่มีของกู ไม่มีผู้นั้นไม่มีผู้นี้ มีจิตใจอยู่ด้วยความว่างเป็นอันเดียวกับความว่างของพระพุทธเจ้า คือไม่มีตัวกูไม่มีของกู แล้วหลับตาเสีย แล้วคอยว่าตามอาตมา
ตั้งแต่นาทีที่ 55:10 – 55:54 เป็นบทสวดมนต์
ของเราทั้งหลาย อนึ่งเราทั้งหลายชอบใจซึ่งพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงอุบัติแล้วในหมู่มนุษย์ชาวอริยกะในมัชฌิมชนบท เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เป็นโคตมโดยพระโคตร เป็นศากยบุตรออกบรรพชาแล้วจากศากยสกุล เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเองถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝีกบุรุษ ไม่มีสารถีอื่นยิ่งกว่า เป็นพระศาสดาผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้มีธรรมสูงสุดไม่ต้องสงสัยเลย พระผู้พระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เป็นผู้บรรลุธรรมซึ่งบุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตนๆ อนึ่งสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรมแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว นั่นคือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวเป็นบุรุษ ๘ นั่นคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นเนื้อนาบุญของผู้ต้องการด้วยบุญ เป็นผู้ที่บุคคลควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ก็พระสถูปนี้แลได้สร้างขึ้นแล้ว อุทิศเฉพาะต่อพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นด้วยญาณทัศนะแล้ว จะพึงได้ซึ่งความเลื่อมใส จะพึงได้ซึ่งความสังเวช บัดนี้เราทั้งหลายมาถึงแล้วซึ่งกาลอันสมมติว่าวิสาขบูรณมีเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นกาลเป็นที่ประสูติ เป็นกาลเป็นที่ตรัสรู้ เป็นกาลที่เสด็จปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เราทั้งหลายจึงมาประชุมกันแล้ว ณ ที่นี้ มีสักการะมีเทียนและธูปเป็นต้นนี้ถือไว้ในมือ กระทำร่างกายของตนนี้ให้เป็นดังภาชนะรองรับเครื่องสักการะนั้น ในใจระลึกถึงอยู่ซึ่งพระคุณทั้งหลายตามที่เป็นจริงของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จักทำประทักษิณสิ้นวาระ ๓ รอบซึ่งพระสถูปนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เสด็จปรินิพพานนานแล้ว แต่ยังอยู่ด้วยพระคุณ อันข้าพระองค์ทั้งหลายมีความรู้สึกอยู่ในฐานะเป็นอตีตารมณ์ จงทรงรับซึ่งเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้ของข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ