PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2517 ครั้งที่ 1 การเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน (ต่อ)
แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2517 ครั้งที่ 1 การเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน ... รูปภาพ 1
  • Title
    แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2517 ครั้งที่ 1 การเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน (ต่อ)
  • เสียง
  • 1356 แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2517 ครั้งที่ 1 การเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน (ต่อ) /buddhadasa/2517-1-3.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันเสาร์, 01 กุมภาพันธ์ 2563
ชุด
ล้ออายุ เลิกอายุ (เทศน์,บรรยาย)
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ให้รู้จักไว้เป็นตัวอย่างเป็นการล่วงหน้า  เราอยู่วันหนึ่ง ๆ มันสับเปลี่ยนกันอยู่ด้วยอำนาจของธาตุทั้ง ๔ นั้น  เดี๋ยวเป็นกามเดี๋ยวก็หยุดไปจากกามไปบ้ารูป เดี๋ยวก็หยุดจากรูปไปหาอรูป  แต่ว่ามันน้อยเต็มทีมันมักจะวกมาที่กามเสียอีก  ถ้าวกมาที่กามมากเป็นประจำอย่างนี้เป็นลักษณะของปุถุชนอย่างนี้แล้วก็จัดบุคคลเหล่านั้นไว้ว่าตั้งอยู่ใน กามาวจรภูมิ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนไป  มันมีบางคนที่มันมีจิตใจเป็นไปในทางรูป  ชอบอยู่อย่างจืด ๆ ด้วยวัตถุที่ไม่เกี่ยวกับกาม  ถ้ามันเป็นมากในนิสัยของเขาอย่างนั้น คนนั้นก็ต้องถูกจัดไว้ในฐานะสัตว์ผู้ตั้งอยู่ใน รูปาวจรภูมิ (01:06) เช่นพวกฤษี มุณี โยคีที่มันเป็นบ้าเป็นหลังในเรื่องเข้าฌาณเข้าสมาบัติอย่างรูปฌาณ  มีความสุขเข้าฌาณนานนับเดือนไม่เคยเยื้องเคลื่อนกาย...จำศีล........................(1:19ฟังไม่ชัดไม่ได้ถอดเสียง)เป็นผาสุกทุกคืนวัน  เมื่อเป็นเด็ก ๆ ไม่เคยอ่านหนังสือนี้บ้างหรืออย่างไร  นั้นน่ะมันคือ รูปธาตุมันเป็นเจ้าเรือน ถ้าหากว่าเข้าฌาณสมาบัติสูงไปกว่านั้นโดยใช้อรูปธรรมเป็นอารมณ์แล้วมันก็ไกลไปกว่านั้นก็เรียกว่า  ก็เรียกคนชนิดนั้นที่ชอบแต่อย่างนั้นว่าเขามีจิตใจที่ตั้งอยู่ใน อรูปาวจรภูมิ  แต่เดี๋ยวนี้เรามาลงถึงคนธรรมดาสามัญนี้ก็เอาแต่ในคน ๆ เดียวกันและในปีเดียวกันเขาก็ยังมีจิตใจเปลี่ยนเดี๋ยวภูมินั้นเดี๋ยวภูมินี้  มันมากไปด้วยภูมิไหนก็จัดเขาไว้ในลักษณะนั้น  หรือจะจัดให้ดีกว่านั้นก็ว่าในขณะใดเขามีจิตจมลงไปในกาม  เขาก็เป็นสัตว์ใน  กามาวจรภูมิ  และเมื่อใดจิตของเขาดิ่งลงไปในรูปธรรมบริสุทธิ์  ก็จัดเขาไว้ว่าเป็นสัตว์ที่กำลังตั้งอยู่ใน รูปาวจรภูมิที่นี่และเดี๋ยวนี้ในบ้านนี้ในเรือนนี้  ถ้าสูงกว่านั้นก็เป็นอรูปาวจรภูมิ  บ้าบุญบ้ากุศลบ้าเกียรติ์ บ้าอะไรไปตามเรื่อง  อย่างนี้มันจริงกว่ามันเป็นปัญหาเฉพาะหน้ากว่า  และโลกุตะระภูมิก็แทรกเข้ามาเป็นคราว ๆ  เพราะว่ายังเป็นกุปปธรรม คือยังกลับกำเริบได้  เมื่อใดจิตสงบจากการรบกวนของธาตุทั้ง ๓ นั้นหรือภูมิทั้ง ๓ นั้นแล้วก็เรียกว่าอยู่ในโลกุตตรภูมิชนิดชั่วคราวชนิดตัวอย่างชนิดที่มันกลับกำเริบได้  แม้แต่แวบเดียวก็ยังดี (03:08) นี่ สิ่งที่เรียกว่าธาตุมันเป็นอย่างนี้  ถ้ารู้จักมันดีก็เรียกว่ารู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุดพวกหนึ่งแล้วที่ทำให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา  เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า นิโรธธาตุ นั่นแหละสำคัญที่สุด  และเป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา และหวังว่านิโรธธาตุจะขึ้นมาเป็นเจ้าเรือน  ถ้าผู้ใดมีนิโรธธาตุเป็นเจ้าเรือนมันก็ไม่หลงไปตาม กามธาตุหรือ รูปธาตุ หรือ อรูปธาตุ ก็จะเป็นบุคคลที่ว่าทำอะไรอยู่ได้ด้วยความเป็นสุขไม่มีทุกข์เลยแม้จะต้องทำงานมาก เช่น พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า เป็นต้น ท่านก็ทำงานมากไม่แพ้กับพวกเรา ท่านไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์หรือเป็นปัญหาหรือว่ารบกวนอะไร  เพราะไม่มีกามธาตุ ไม่มีรูปธาตุ ไม่มีอรูปธาตุ เป็นต้นมารบกวน  ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนั้นเราก็พยายามที่จะทำให้ได้มากเท่าที่เราจะทำได้  คือพยายามที่จะไม่ปล่อยให้เกิดความทุกข์ความร้อนขึ้นมาในหน้าที่การงานในชีวิตประจำวัน  เราจะจัดให้ดีที่สุดเกี่ยวกับธาตุหรือภูมิเหล่านี้ที่จะต้องควบคุมให้ได้  ให้สิ่งที่เรียกว่านิโรธธาตุนั้นน่ะมันเป็นเจ้าเรือนขึ้นมาเรื่อย ๆ คือดับ เย็นลงไป ไม่ปล่อยให้อำนาจของกามธาตุ หรือรูปธาตุ หรืออรูปธาตุครอบงำ  สำหรับคนทั่วไปก็ต้องยอมรับว่าอำนาจของกามธาตุนั้นครอบงำยิ่งกว่าสิ่งใด  จนถึงกับว่าแม้แต่จะได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมมาก็มาเพื่อกามธาตุเสียแล้ว  แม้แต่เล่นวัตถุสิ่งของมันก็น้อมนำไปเพื่อเป็นกามารมณ์ในแง่ใดแง่หนึ่งเสียแล้ว  จะมีเงินเท่าไรก็เป็นไปเพื่อความหมายทางกามารมณ์ทั้งนั้น  ยิ่งกินร้อนมาก(5:44)ยิ่งเป็นทุกข์มากก็รีบแสวงหาคุณค่าของธาตุที่ ๔ หรือธาตุที่มันจะหยุดหรือจะดับไอ้ความรู้สึกอย่างนั้นเสียก็อยู่(5:56)ด้วยสติปัญญา  ทำการงานไปได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์  เมื่อไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาเผชิญกับไอ้สิ่งที่เรียกว่ากิเลสขึ้นมาที่ติดตรึงขึ้นมาจากธาตุเหล่านั้น  ถ้าขึ้น(6:13ไม่แน่ใจขึ้นหรือพึง)มาจากกามธาตุ มันก็เป็นกิเลสในทางกาม   ถ้าพึงมาจากรูปธาตุมันก็เป็นกิเลสในทางรูป  รูปธรรมหรือสิ่งที่เป็นวัตถุล้วน ๆ  ถ้ามันเป็นสิ่งที่พึงมาจากอรูปธาตุมันก็หลงใหลในนามธรรมล้วนแต่เป็นความหลงใหลทั้งนั้น  เรียกว่ากิเลสได้ทั้งนั้น  บางทีก็อยู่ในรูปของอุปกิเลสคือมาในลักษณะที่มันแบ่งสัดส่วนกันมารบกวน  เบากว่านั้นก็มาในรูปของนิวรณ์ ทำความรำคาญให้เสมอ  ส่วนลึกมันก็เป็นสัญโยชน์ เป็นอนุสัย เคยชินอยู่ในสันดาน  นี่ชีวิตประจำวันมันมีอย่างนี้ มีสติปัญญาให้พอมีสติคอยระวังให้พอ  เดี๋ยวนี้เราจะเห็นได้ว่าคนในโลกนี้ทำผิดมากขึ้นทุกที

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในธาตุที่ ๑ คือ กามธาตุ  สิ่งที่เรียกกามธาตุได้หน้าที่ได้โอกาสเป็นเจ้าเรือนขึ้นขี่คอนั่งอยู่บนศีรษะ มนุษย์จึงกระทำผิดต่อสิ่งที่เรียกว่ากามธาตุมีผลทำให้เลวไปกว่าสัตว์ รับทุกข์รับโทษยิ่งไปกว่าสัตว์ เช่นโลกมนุษย์ต้องมีระบบโสเภณี  ซึ่งสัตว์มันไม่ต้องมีนี้เรียกว่าดีหรือเลวกว่าสัตว์แล้วลองคิดดู  มนุษย์ที่กามธาตุครอบงำอย่างบ้าหลังอย่างที่เราอ่านในหน้าหนังสือพิมพ์มันไม่น่าจะมีได้กระทั่งว่ามีการข่มขืนเด็กทารกอย่างนี้  สัตว์เดรัจฉานมันยังไม่มี  นี้เพราะเหตุที่กามธาตุมันครอบงำมากเกินไปคนจึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ไม่มีใครหยิบขึ้นมาพิจารณาดูว่านี้เป็นปัญหา 

    นี่คือภูมิหรือชั้นของจิตใจมันแบ่งไปตามอำนาจของธาตุทั้ง ๔ เหล่านี้  ถ้า (8:32)ตามอย่างข้างต้นมันปรุงแต่งเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ ไป โดยอาศัยนิโรธธาตุเข้ามาตัดตอนหรือระงับเสียคราวหนึ่ง  คราวหนึ่ง ๆ ก็ยังเป็นการดีแล้ว  ถ้าระงับได้สิ้นเชิงก็เป็นนิพพานที่แท้จริงและก็ไม่ต้องตาย  และก็ทำอะไรได้ที่มีประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างมาก  เช่นที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านทำกัน 

    นี่คือการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนามันมีลักษณะอย่างนี้  รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าธาตุนั้นแหละให้ถูกต้อง  ขจัดให้ดี มีให้ดี ควบคุมให้ดีตลอดเวลานาทีในชีวิตวันหนึ่ง ๆ  เดี๋ยวก็มีผล (9:24)เกิดขึ้นในระดับสูงที่เรียกว่ามรรคผลนิพพาน  ทีนี้ครูบาอาจารย์พวกไหนก็อย่าออกชื่อเลย  หรือว่าโดยมากแทบทั้งหมดก็ว่าได้เขาสอนว่ามรรคผลนิพพานนี้ไม่ต้องพูดถึงมันอยู่เหนือวิสัยหรือว่าเหลือวิสัย  แต่อาตมาคิดว่าเราเอามาทำให้เป็นสิ่งที่มีอยู่กับเราในระดับหนึ่งเรียกว่า อย่างกุปปธรรมหรืออย่างโลกียะ ก็ได้  ถ้าเราพูดว่ามรรคผลนิพพานเป็นเรื่อง (10:02)โลกียะ ไม่มีใครยอมเชื่อไม่มีใครยอมฟังแล้วจะด่าว่าบ้าแล้วหรือว่าลบล้างพระพุทธวจนแล้ว  นั่นก็เพราะว่ามันพูดตามตัวหนังสือมากเกินไปแล้วก็ติดตัวหนังสือมากเกินไป  เพราะตัวหนังสือนั้นเขาก็พูดไว้ในลักษณะหนึ่ง  หรือในบ้านหนึ่งไม่ได้พูดไว้ในลักษณะทั้งหมด  สมมติว่าเรามองดูในลักษณะทั้งหมดแล้วเราอาจจะแยกไอ้สิ่งสูงสุดนั้นลงมาให้พออยู่ในระดับที่เราจะได้รับประโยชน์ได้  ยกตัวอย่างเช่น การบรรลุมรรคผลก็หมายถึงการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปอย่างถูกต้องแล้วก็ได้ผลขึ้นมาตามสมควร  นั้นก็คือการบรรลุมรรคผล  แต่เขามักจะเอาไปใช้กับคำบรรลุมรรคผลทางพระนิพพานทางโลกุตะระในทางชาวบ้านนี้ไม่ค่อยใช้  แต่ข้อเท็จจริงมันกลับมีว่ายืมคำชาวบ้านต่ำ ๆ นี้แหละไปใช้แล้วก็กลายเป็นเรื่องสูงสุด โลกุตะระ ในทางพระนิพพานไป  มรรคก็คือการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกว่า มรรค  ผลเกิดขึ้นก็เรียกว่าผล  หรือว่าถ้ามรรคเป็นหนทาง การกระทำก็คือการเดินทาง ถึงปลายทางก็ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง  ทีนี้เราขอยืมคำนี้กลับมาหยิบดึงออกมาเรามีสิทธิ์ที่จะหยิบดึงออกมา (11:40)เพราะว่าเขายืมของเราไป  คำธรรมะทุกคำชั้นสูงสุดนั้นยืมคำชาวบ้านไปใช้ให้มีความหมายอย่างนั้น  ทีนี้ทวงคืนมาให้ความหมายตามเดิม  ว่าถ้ามรรคและผลก็คือการปฏิบัติแล้วก็บรรลุผล  ได้อานิสงส์คือ สงบ เย็น  ถ้าต้องการหาเงิน ปฏิบัติลงไปนั่นคือมรรคได้เงินมาก็เป็นผล  ความสุขที่ถูกต้องจากสิ่งนั้นก็เรียกว่านิพพานได้  นี่อย่าง

    โลกียะก็หมายความกันอย่างนี้  เดี๋ยวนี้ก็ไม่สนใจไม่รู้จักใช้หลักเกณฑ์อันเดียวกันให้มันแก้ปัญหาได้โดยถูกต้อง  มันก็เลยไม่มีหลักเกณฑ์อันไหนที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ 

    ทีนี้เราจะแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายไว้เสมอว่าชนิดชั่วคราว เป็นโลกียะ เป็นกุปปธรรมจะเป็นการกระทำก็ดี เป็นผลคือทางจิตก็ดี มันก็มีอย่างชนิดเป็นโลกียะเป็นกุปปธรรม  แต่ถ้าว่าใจมันเย็นโดยนิโรธธาตุแล้วแม้ชั่วคราวหรือเป็นกุปปธรรมมันก็มีผลเหมือนกัน มีอาการมีรสชาติอย่างเดียวกันกับที่เป็นการถาวร  ก็ถ้าเรานอนหลับถ้าหลับจริงมันก็มีผลมีรสมีชาติเหมือนกัน จะหลับมากหรือหลับน้อยหลับสั้นหรือหลับนาน  มันต่างกันอยู่ที่ตรงนี้ว่ามันกลับมาอีกหรือมันไม่กลับมาอีก  ถ้าเราระงับความทุกข์ได้มันก็มีรสชาติอย่างเดียวกัน  มันผิดกันอยู่แต่ว่าอย่างหนึ่งมันกลับเปลี่ยนเป็นมีทุกข์อีก(13:29)อย่างหนึ่งมันกลับอีกไม่ได้มันมีเท่านั้น ..............................(13:34 ฟังไม่ชัดไม่ได้ถอดเสียง)กับสิ่งที่มันกลับไปกลับมานี้อย่าให้มีความทุกข์เกิดขึ้นได้  คือมีสติรู้ทันความคิดที  ถ้ามันจะผิดเราก็รู้ทำความคิดดี อย่าให้มันผิด (13:42)  มันก็รักษาความถูกนั้นไว้ได้และมันก็ยาวออกไป ยาวออกไป ยาวออกไปเดี๋ยวมันก็ชนกันหมดจนไม่มีช่องว่างที่จะให้ความทุกข์แทรกแซง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ในชีวิตนี้เพราะปัญหามันอยู่ที่นี่ มันไม่ได้มีปัญหาต่อตายแล้ว  เรื่องตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เรายังไม่พูด  เพราะว่าปัญหามันอยู่ที่นี่ ก็ต้องแก้ปัญหาที่นี่ให้ได้จึงจะเป็นคนฉลาด  ถ้าหวังจะแก้ปัญหาต่อตายแล้วข้างหน้านั้นขออภัยนี่เรียกว่าคนโง่เกินกว่าที่จะโง่  เพราะปัญหามันอยู่ที่นี่ความทุกข์มันอยู่ที่นี่ทำไมจะไปคิดแก้ต่อตายแล้ว

    ทีนี้ขอให้รู้เท่าทันสิ่งที่เรียกว่าธาตุที่จะดึงจิตใจให้เป็นไปแบบหนึ่ง แบบหนึ่งในชีวิตประจำวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกามธาตุจะทำให้หลงใหลในกามารมณ์  ถ้าเรารู้เท่าทันและควบคุมได้ แล้วเราก็จะแปลงกิเลสให้เป็นประโยชน์ได้  ก็ไม่มีใครเชื่ออีกว่าจะแปลงกิเลสให้เป็นประโยชน์ได้  กิเลสน่ะมีกำลังเอาส่วนที่ผิดออกไปเสียให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นกำลังก็เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้  บางทีเราจะสามารถใช้คนบ้าให้เป็นประโยชน์ได้ถ้าเรารู้จักใช้ให้มันถูกกับเรื่องกับราวเพราะว่ามันมีกำลัง  ถ้าจะโลภก็โลภให้สบาย ถ้าจะโกรธก็โกรธให้สบาย  ถ้าจะโง่ก็โง่ให้มันสบายไปเลย  นี่มันรู้จักอย่างนี้อย่าให้ไอ้ส่วนที่ผิดที่เลวร้ายมันเข้ามาเกี่ยวข้อง  แล้วก็โลภก็ได้ทำความดีอย่างเป็นคนละโมบโลภมากก็ได้  อย่าให้อวิชชามันเข้ามาครอบงำมันก็โลภได้สบาย  แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้ว่าไม่ต้องกลัวต่อความดี  คือว่าไม่ต้องสันโดษในการทำความดี  นี้เรียกว่ารู้จักโลภให้มันสบาย มันก็สบาย  ก็มีกำลังอันหนึ่งสำหรับให้ทำงานที่เป็นประโยชน์  ถ้าจะโกรธก็โกรธให้สบายอย่าให้มันร้อนให้มันบังเกิดเย็น  ไอ้โกรธนี้มันมีขึ้นมาเมื่อไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้อย่างใจเราก็โกรธกับเขาบ้างเหมือนกัน  แต่ว่าโกรธให้สบาย คือให้ไอ้ที่มันไม่ได้อย่างใจนั้นน่ะมันมาสอนเราให้เราฉลาดให้มันเป็นการศึกษา นี่โกรธให้สบาย โกรธเท่าไรก็ได้โกรธให้มันเย็น  ถ้าโง่ก็โง่ให้มันสบายคือไม่อยากอะไร ไม่ต้องการอะไร ไม่อยากจะไปสัมภาษณ์สอนอะไร (17:06)  ไม่อยากจะทำอะไรด้วยซ้ำไป  ถ้าทำได้อย่างนี้ก็หมดดอันตราย  กิเลสทั้งหลายก็มากลายเป็นอุปกรณ์สำหรับที่จะทำประโยชน์ไปเสียอีก  แม้แต่ความตายก็กลายเป็นของมีประโยชน์  เพราะสอนให้เรารู้ว่ามันคืออะไรจนกระทั่งรู้จักความไม่ตาย  ถ้ามันไม่มีความตายแล้วเราไม่มีทางที่จะรู้จักความไม่ตายหรอก  พระนิพพานนั้นเป็นความไม่ตายหรือเหนือความตายก็สุดแท้มันต้องมีความตายมาเป็นปัญหามาเป็นการศึกษาเราจึงจะสามารถอยู่เหนือความตาย  นี่พูดอย่างนี้มันบ้าหรือดี  คนที่ไม่เข้าใจมันก็ว่าบ้าแต่คนที่มันเข้าใจมันก็คงจะคิดว่ามันน่าพิจารณามันน่าจะรับไว้พิจารณา รับไว้พิจารณาดู  เมื่อทำอย่างนี้แล้วมันก็เป็นการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาได้เร็ว ๆ ที่นี่และเดี๋ยวนี้  ชีวิตนิรันดรหรือว่าความสุขนิรันดรมันอยู่แค่เอื้อมอย่างนี้มันอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้  มันอยู่ที่หน้าผากแล้วด้วยซ้ำไป  เข้าถึงหัวใจของธรรมะให้ได้สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏออกมา นี่อานิสงส์ของการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนามันมีอยู่อย่างนี้  แล้วมันไม่เหลือวิสัยแล้วมันทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ถ้าฉลาดสักหน่อยมันก็จะได้โดยไม่ยาก 

    ทีนี้ก็มาคิดดูว่าเราตั้งแต่เกิดมาจำความได้จนบัดนี้เราได้ดำเนินชีวิตมาอย่างไร  ได้ทำอะไรไปโดยกำลังจิตกำลังใจกำลังกายทั้งหมดอย่างสุดเหวี่ยงแล้วมันได้อะไรมา  เรากำลังหลงใหลในอะไรหวังพึ่งอะไร หวังพึ่งเงินที่สะสมไว้มาก ๆ  หวังพึ่งเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ได้ทำการผูกพันกันไว้มาก ๆ หรือว่าจะหวังพึ่งเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนาที่หาไว้ได้มาก ๆ  เอาสิจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่  มันจะเพิ่มความเป็นไฟร้อนให้มากขึ้นหรือไม่  มันต้องเข้าใจมันต้องเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาเสียก่อน  เงินจึงจะทำความเย็น  เกียรติยศชื่องเสียงจึงจะทำความเย็น  อำนาจวาสนาจึงจะทำความเย็น อะไรมันจึงจะพอเย็นแค่ว่าเข้าถึงธรรมะเสียก่อน  นี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องพูดกันกับบุคคลที่ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เกิดตั้งแต่จำความได้จนมาถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ 

    วันนี้มันเป็นโอกาศที่จัดไว้เป็นพิเศษสำหรับพูดตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมไม่ต้องเกรงใจใครหมด  เพราะว่าเรามาล้ออายุ  เราประกาศสงครามกับสิ่งที่เรียกว่าอายุ  แล้วเราจะตีฝ่าให้มันแตกหักออกไปให้มันทะลุออกไปได้ให้อายุมันหมดความหมาย  ให้ชีวิตมันหมดความหมายที่เป็นเรื่องของความทุกข์ร้อน  ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดี ถ้าสิ่งแรกหรือสิ่งสุดท้ายคือสิ่งเดียวกันสำหรับพวกเราว่าจะต้องเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาให้ได้  ปีนี้ก็ได้พูดในแง่นี้ในลักษณะอย่างนี้  ขอให้นำไปพิจารณา  เวลาสำหรับการบรรยายในภาคเช้านี้ก็ควรจะถือว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว  ก็ขอยุติไว้ก่อนจะมีพูดกันในภาคบ่ายหรือภาคกลางคืนอีกต่อไปตามหมายกำหนดการนั้น  ดังนั้นอาตมาจะขอยุติการบรรยายในภาคเช้านี้ไว้แต่เพียงเท่านี้

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service