แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัจชนาพระธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับ สติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ ในวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่ง ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนา เป็นบุพพาปรลำดับ(นาทีที่ 01:28) สืบต่อจากธรรมเทศนา ในตอนกลางวัน คือ เป็นธรรมเทศนาเนื่องด้วยวิสาขบูชา ดังที่ท่านทั้งหลาย ก็ทราบอยู่เป็นอย่างดีแล้ว เมื่อตอนบ่ายนี้ ได้แสดงธรรมเทศนาในลักษณะ เออ, เป็นการแนะเพื่อความเตรียมพร้อม สำหรับการทำวิสาขบูชา ให้มีผลดีถึงที่สุด ในครั้งนี้ เออ, จะได้แสดงธรรมเทศนา ที่เป็นเรื่อง เออ, ต่อเนื่องกันมา ในบาง ประการ
เมื่อเราได้ทราบ พระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นประจำอยู่ในใจ อ่า, ในขณะที่ทำการบูชา ด้วยการเวียนประทักษิณ เป็นต้น ข้อที่จะต้องนึกมากสักหน่อย อ่า, ก็คือ ข้อที่พระองค์ทรงพยายาม อย่างที่สุด ที่จะช่วย อ่า, ขนสัตว์โลกนี้ ให้ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ เปรียบความลำบาก ในข้อนี้ ว่าเหมือนกันกับการ อืม, ไสช้างลอดรูเข็ม แต่พระองค์ก็ทรงประสบความสำเร็จ คือ พาออกไปได้ บางตัว อ่า, หมายถึง ช้างบางตัวออกไปได้ ถึงกับเป็นพระอรหันต์ก็มี เป็นพระอนาคามี เป็น อ่า, พระสกิทาคามีก็มาก และเป็นพระโสดาบันก็ยิ่งมากที่สุด นี้ก็แปลว่า มีช้างจำนวนมาก ได้ลอดรูเข็ม ออกไปได้ เป็นความสำเร็จในการไสช้างของพระองค์
บัดนี้ก็เหลืออยู่ แต่ช้างทั้งหลายที่ยังเกลื่อนกล่นอยู่ในสถานที่นี้ ก็จะมีปัญหาอย่างไร ก็จะออก ไปได้ในลักษณะที่เป็นการลอดรูเข็ม ช้างที่ยังมีไฝฝ้าหรือธุลีในดวงตาหนาเกินไป ยังไม่รู้จัก แม้แต่ พระพุทธเจ้า ว่าคืออะไรโดยแท้จริง อย่างนี้แล้วจะไปพบ อ่า, กันกับพระพุทธเจ้าได้ที่ไหน จึงจะได้ รับการโปรดปราน ในลักษณะที่ว่าจะช่วยไสออกไปโดยลอดผ่านรูเข็ม
ดังนั้น ท่านทั้งหลาย ก็คงจะเห็นด้วย ถ้าหากว่า อาตมาจะกล่าวว่า เราจะต้องรู้จักพระพุทธเจ้า กันเสียก่อน การรู้จักพระพุทธเจ้านี้ เออ, ก็มีความยากลำบากอยู่เป็นอันมาก เช่น อาจจะกล่าวได้ว่า มีพระพุทธเจ้าที่แท้จริงก็มี มีพระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ อ่า, มีอยู่หลายชั้นหลายระดับ และพระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลผู้ไม่มีสติปัญญาเพียงพอแล้ว ก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้ แถมจะกลายเป็นพระพุทธเจ้า ที่บังพระพุทธเจ้าไปเสียอีก เพราะมีพระพุทธเจ้าตามทัศนะของเขา ชนิดหนึ่ง ติดอยู่ที่ตา และเขาจะเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้อย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องระวัง เออ, พระพุทธเจ้า ตามทัศนะของตนของตนนั้นให้มาก พินิจพิจารณาศึกษา วิเคราะห์วิจัยกันให้ดี ๆ เพื่อว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง แล้วก็ไม่บังพระพุทธเจ้า
เมื่อกล่าวว่า พระพุทธเจ้ามีหลายระดับ ก็จะต้องนึกถึงอย่างนี้ก่อน พระพุทธเจ้าตามทัศนะ ของบุคคลนั้น บางทีมันก็จะมากเกินไป ส่วนมากก็มากเกินไป คือ ไม่เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เท่าที่จะมาอยู่ในกลุ่มของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ก็ยังจะต้องแบ่งออกเป็น หลายระดับอยู่นั่นเอง อาตมาอยากจะ อ่า, ชี้ให้เห็นสัก ๓ ระดับ จะได้ง่ายแก่การจำไว้ คือ พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล อย่างหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรม หรือพระธรรมอย่างหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นความว่าง ไปจากทั้งคนและทั้งธรรม นี้อีกอย่างหนึ่ง เป็น ๓ อย่างด้วยกัน
พระพุทธเจ้าอย่างบุคคลนี้ เชื่อว่ารู้จักกันมากทีเดียว อย่างที่ได้เรียน ได้อ่าน ได้ฟังมาจากเรื่อง พุทธประวัติ ว่าท่านคือ ใคร อยู่ที่ไหน เมื่อไร ยังไง นี่พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล นี้พระพุทธเจ้าอย่างที่ ๒ ก็คือ ธรรม ที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม คนที่ไม่ เห็นธรรม แม้แต่จับแข้ง จับขา จับจีวรอะไรเอาไว้ ก็ยังไม่เห็นองค์พระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง นี่ก็เป็น พระพุทธเจ้าชั้นที่ลึก ถึงขนาดที่ว่าคนไปจับพระองค์ท่านไว้ แล้วก็ยังไม่เห็นพระองค์ท่าน นี่ก็เป็น พระพุทธเจ้าที่ลึกเอาการอยู่ ทีนี้ถ้ามาถึง พระพุทธเจ้าอย่างที่ ๓ คือ ความว่าง เป็นพระพุทธเจ้านี้ คิดว่าอย่างไรกัน ใครเข้าใจบ้าง ก็ขอให้คิดดูไปพลาง
ในที่นี้จะได้อธิบายไปตามสมควร ตามลำดับ เพื่อให้รู้จักพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ชั้น หรือ ๓ ระดับ นี้ให้ได้ บางทีก็จะกลาย อ่า, เป็นช้างที่พระองค์อาจจะโปรดปรานได้ คือ พอที่จะพาลอดรูเข็มออก ไปได้
พระพุทธเจ้าอย่างที่ ๑ คือ พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ก็ขอให้ศึกษา เอาจากพระพุทธ พระประวัติ โดยละเอียดพิสดาร สรุปความแล้วก็ว่า ท่าน อ่า, เกิดในชมพูทวีป ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว มีพระบิดา พระมารดา ชื่อนั้น ชื่อนี้ ซึ่งก็รู้กันดี เกือบจะไม่ต้อง เออ, บรรยายให้เสียเวลา และก็รู้ ต่อไปว่า ท่านก็ได้ออกบวช เป็นพระพุทธเจ้า แรกเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ๆ ก็เดินสวนทางกับ คนคนหนึ่ง ซึ่งเค้าเรียกว่า อาชีวก นามว่า อุปกะ สนทนากัน ในที่สุดก็ไม่มีประโยชน์อะไร คือ อาชีวกนั่น ไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมเชื่อว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ก็มีคนเห็นแล้วไม่รู้จัก แต่ก็ยังมีมากที่เขารู้จัก แล้วเขาก็ได้รับ ประโยชน์ จากพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล เทศน์โปรดสอนให้ได้อย่าง ปัญจวัคคีย์ เป็นชุดแรก ก็ได้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ท่านก็เที่ยวเสด็จสั่งสอนไปตามชนบทต่าง ๆ นิคมต่าง ๆ เป็นเวลานานตั้ง ๔๐ กว่าปี ท่านจึงเสด็จปรินิพพานไป
ทีนี้ท่านตรัสว่า แม้ปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ยังอยู่แทนท่าน อะไรบ้างที่จะเป็นเครื่องอยู่ แทนท่าน ถ้าเอาอย่างบุคคลกัน ก็หมายถึง วัตถุ เราก็มี เออ, สิ่งแทนพระองค์ ของท่านหลายอย่าง หลายประการ อย่างแรกที่สุด ก็ได้แก่ พระสารีริกธาตุ ซึ่งคนเป็นอันมาก ก็ยินดีเคารพ เออ, นับถือใน พระสาริกธาตุ มีอยู่ทั่วไปในชมพูทวีป หรือในประเทศไทยเราก็มีหลายแห่งที่เรียกว่า พระสารีริกธาตุ นี้ก็เป็นวัตถุแทนพระองค์ของท่าน ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล นอกจากพระธาตุก็ยังมี อะไร อีกหลาย ๆ อย่าง เช่น ที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธรรมจักร ที่นิพพาน สถานที่เหล่านี้ ก็แทน พระองค์อย่างบุคคล
และต่อมาอีก ๖-๗๐๐ ปี หลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว ก็เกิดมีพระพุทธรูปขึ้นมา พระพุทธรูปก็เลยแทน พระกายของท่าน ชนิดที่เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล เดี๋ยวนี้ เรามี พระพุทธรูปมากที่สุด จนจะกล่าวได้หรืออวดได้เลยว่า ในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตามใจ บุคคลที่ถูก เขาหล่อรูปแทนองค์ขึ้นมามากมายที่สุดนี้ เห็นจะไม่มีใครเท่าพระพุทธเจ้า เพราะว่าได้เกิดนิยมทำ พระพุทธรูปองค์เล็กเข้ามา เล็กเข้ามา จนแขวนคอได้ ทำกันเป็นแสน เป็นล้าน หรือร้อยล้านแล้วก็ได้ ใครจะมาสู้พระพุทธเจ้าได้ ในฐานะที่ว่า เป็นบุคคลที่มีผู้หล่อรูปของท่านขึ้นมามากที่สุด
เดี๋ยวนี้เราก็เห็นกันอยู่ และเข้าใจกันดีว่า พระพุทธรูปที่ห้อยอยู่ที่คอนี้ ก็เป็นวัตถุแทนบุคคล คนหนึ่ง คือ อ่า, องค์พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นบุคคล เมื่อ ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว อ่า, ท่านเสด็จ ดำเนินไปมา อยู่ในประเทศอินเดีย เดี๋ยวนี้ ส่วนร่างกายของท่านก็หายไป เหลือพระธาตุแทน เหลือนั่นนี่แทน กระทั่งเหลือพระพุทธรูปแทน เราก็บูชากันมาก หลงใหลกันมาก บูชาด้วยความรู้ ความเฉลียวฉลาด ได้รับประโยชน์ก็มี บูชาด้วยความงมงาย ได้ความโง่มากยิ่งขึ้นก็มี ก็ไปจัดแจง กันดูเองว่า ควรจะทำอย่างไร ในข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าอย่างเป็นบุคคล หรือเป็นวัตถุแทนบุคคลนี้ จะพาเราลอดรูเข็มได้อย่างไร
ทีนี้ต่อไปอีกถึง เออ, พระพุทธเจ้าประเภทที่ ๒ คือ พระพุทธเจ้าอย่างธรรม โดยอาศัยหลัก ที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม นั่นแหละ จึงจะชื่อว่าเห็น พระองค์จริง นี้ก็อ้างตัวอย่าง เออ, อันเดียวกันได้ อีกครั้งหนึ่งว่า อุปกะอาชีวก เดินสวนทางกับ พระพุทธองค์ เขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจึงต้องเลิกรากันไป นี่เพราะเหตุไร อ่า, ก็เพราะเหตุว่า อาชีวก คนนั้น มันไม่เห็นธรรมนั่นเอง ถ้าเขาเห็นธรรม เขาก็จะเห็นพระพุทธเจ้า และก็ยอมรับว่าเป็น พระพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ที่มีโชคดี ได้รับสิ่งที่มีค่า ทีนี้ก็ไม่เห็นแล้วก็เลิกกัน แต่มีบุคคลจำนวนมาก ได้เห็นธรรม ชนิดที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
นี้ธรรมที่เห็นแล้ว ได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้านั้น คือธรรมอะไร ก็คือ ธรรมที่เป็นความจริง ที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ อ่า, โดยความรู้ความสามารถ อ่า, ที่จะดับทุกข์ได้ มีข้อความกล่าวไว้ ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ข้อความนั้น ระบุชัด ว่าพระสารีบุตรเป็นผู้กล่าว ว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อ่า, อีกทีหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม มีการยืนยัน ในที่นั้นว่า พระสารีบุตรเป็นผู้กล่าว
อย่างนี้เราก็ควรจะ ถือว่ามีน้ำหนักมาก หรือเพียงพอทีเดียว เพราะว่าพระอรหันต์เป็นผู้กล่าว ปรากฏชัดอยู่ ดีกว่าไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กล่าว หรือพระสังคีติกถาจารย์ ผู้ร้อยกรองพระไตรปิฎก เป็นผู้กล่าว อย่างนี้มันก็ยังไม่ดี เท่าที่ระบุให้ชัดลงไปว่า พระสารีบุตรเป็นผู้กล่าว เพราะมันมีน้ำหนัก ที่พระสารีบุตรนั้นชั้นหนึ่งแล้ว แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม เอาละเป็นอันยุติว่า อ่า, ผู้ใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ที่นี้ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็น อ่า, พระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น การเห็นปฏิจจสมุปบาท ก็คือ การเห็นพระพุทธเจ้า นี่เห็นปฏิจจสมุปบาทนี้ จะเห็นได้อย่างไร ที่ไหน ในหน้ากระดาษ ในแบบเรียน อ่า, ของพวกนักธรรม เห็นที่นั่นแล้วจะ ชื่อว่า เห็นปฏิจจสมุปบาทได้หรือไม่ ถ้ามันเป็นการเห็นได้ที่นั่นน่ะ ไอ้พวกที่เรียนนักธรรมนี้ คงจะเห็นพระพุทธเจ้ากันหมด และคงไม่เกิดกามตัณหาเป็นแถวยาว เหมือนอย่างที่ปรากฏอยู่ใน ปัจจุบันนี้ งั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาท ในหน้ากระดาษ ในเล่มหนังสือนี้ คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ เป็นปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริง
ปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริง อยู่ที่ไหน ถ้าใครยังสงสัย ก็เต็มทีมาก เป็นช้างโง่และโตที่สุดด้วย ยากที่จะลอดรูเข็มไปได้เป็นแน่นอน ปฏิจจสมุปบาทนั้น มันอยู่ที่เนื้อ ที่ตัวของคนทุกคน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ฆราวาส หรือ เออ, บรรพชิต ที่เนื้อที่ตัว เออ, ของคนนี่แหละ มันมี ปฏิจจสมุปบาท แต่จะเห็นหรือไม่นั้น มันอีกปัญหาหนึ่งต่างหาก ปฏิจจสมุปบาทนั้น มีอยู่ ๒ ระยะ ระยะที่เกิดขึ้น จนมีความทุกข์เกิดขึ้น มาแล้วระยะดับลงไป ก็คือ ความทุกข์ดับลงไป จนหมดไป
เรื่องนี้ก็ได้พูดกันมาก อธิบายกันมาก จนชักจะเบื่อกันเต็มทีแล้ว เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่ ก็ดูยัง ไม่ค่อยเข้าใจ สูตรเรื่องนี้มีอยู่ตายตัวสั้น ๆ ว่า อาศัยตากับรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ ทั้ง ๓ ประการ มาถึงพร้อมกันเข้า เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา ตัณหาเป็น ปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ ชาติเป็น ปัจจัย จึงเกิด ชรา มรณะ โศกะ ปะริเทวะ(นาทีที่ 21:28) และความทุกข์ทั้งปวง นี่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทขาเกิด เกิดขึ้นมา
ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทขาดับ พอเมื่อเกิดตัณหาขึ้นมา หรือเกิดเวทนาขึ้นมา ก็มีสติ หยุดเสียได้ ซึ่งอำนาจปรุงแต่งของเวทนา หรือตัณหา มันก็ไม่ปรุงให้เกิด สิ่งต่อไป อ่า, เช่นว่า ตัณหาดับลงไป อุปาทานก็ต้องดับ ภพดับ ชาติดับ คือ เกิดไม่ได้ นั่นแหละ เรียกว่า ดับ ความทุกข์ก็ไม่เกิด นี้ได้แก่ เรื่องของคนทั่ว ๆ ไป นี่เอง ในวันหนึ่ง ๆ เราก็ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีผิวหนัง มีใจที่รู้สึกต่ออารมณ์ เป็นสัมผัส เป็นเวทนาอยู่เสมอ แต่เราไม่รู้เรื่อง จึงไม่รู้ว่า ปฏิจจสมุปบาทอยู่ที่ไหน
ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า สิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น เช่น ตาได้อาศัยรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ คือ การเห็นขึ้นมาทางตา ตาที่ไม่ได้เห็นรูป มันก็เหมือนกับไม่มีตา ไอ้รูปที่ไม่ อ่า, ตาไม่เห็น มันก็เหมือนกับไม่มีรูป เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังให้ชัดว่า ตาได้อาศัยกับรูป คือ เห็นกันเข้า จึงจะมี การเห็น ชนิดที่เรียกว่า เห็นทางตา คือ จักษุวิญญาณ นี่ตากับรูปทำให้เกิดจักษุวิญญาณ เพราะมี อยู่ครบทั้ง ๓ ประการ คือ ตา รูป และจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้ ถึงกันเข้าแล้วก็เรียกว่า ผัสสะ
ในกรณีทั่ว ๆ ไป ก็ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา ไม่มีสัมปชัญญะ นั้นผัสสะตามธรรมดา จึงเป็น ผัสสะที่สัมผัสด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้ สัมผัสชนิดนี้ เป็นปัจจัยก็ทำให้เกิดเวทนา อ่า, เวทนาชนิด ที่มันมาจากอวิชชาสัมผัส มันก็เป็นเวทนาที่จะปรุงแต่งตัณหา นี่ถึงว่าเพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิด ตัณหา เข้าใจให้ดี ๆ ว่าเวทนานี้ เป็นเวทนาที่มาจากการสัมผัสด้วยอวิชชา จึงเป็นเวทนาที่จะปรุง ให้เกิดตัณหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา นี่คือ อาการแห่งปฏิจจสมุปบาท
เพราะอาศัย เออ, เวทนา จึงเกิดตัณหานี่ หรือเพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดอุปาทาน ตัณหา คือ ความอยากอย่างโง่เขลาด้วยอำนาจของอวิชชา ก็เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวเรา ว่าของเรา เพราะอาศัยอุปาทานนี้มันก็เกิดภพ คือ การปรุงแต่งขนาดที่จะ เกิดความรู้สึกเต็มรูป แห่งตัวกู ของกู เพราะอาศัยภพนี้ ก็เกิดชาติ ชรา มรณะ โศกะ อ่า, คือ ความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง นั้นความทุกข์ ทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ เพราะอาศัยสิ่งที่เรียกว่าภพ ภพเกิดขึ้นมาได้เพราะอาศัย สิ่งที่เรียกว่า อุปาทาน คือ ยึดมั่นถือมั่น อุปาทานเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา คือ ความอยากด้วยอำนาจ ของความโง่ หรืออวิชชา นี้ตัณหาเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยเวทนา ที่ได้มาจากการสัมผัสด้วยอวิชชา เวทนาก็ มาจากสัมผัส ด้วยอวิชชา ทีนี้สัมผัสอวิชชานี้ ก็มาจากการถึงพร้อมกันเข้ากับตา กับรูป และจักษุวิญญาณ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา ไม่มีสัมปชัญญะ นี่มันเกิดอยู่ แก่คนทุกคน ไม่ยกเว้น ภายในวันหนึ่ง ตั้งหลายครั้งหลายหน ถ้าคราวไหน มันไม่มีอวิชชา เข้ามาเกี่ยวข้อง ในขณะที่มีการสัมผัส มันก็ไม่เป็นอย่างนี้ คือ ไม่เกิดเวทนา ที่จะให้เกิดตัณหา หรืออุปาทานได้ มันก็เลิกกันไป
ในบางคราว มันมีวิชชา มีปัญญาเข้ามา มันก็ยิ่งไม่เป็นปฏิจจสมุปบาท ที่จะเกิดกิเลสได้ แต่นี่จะเป็นได้แต่เฉพาะ ผู้ที่มีการฝึกฝนปฏิบัติ อย่างเพียงพอแล้วเท่านั้น หรือแก่พระอริยะเจ้า ชนิดที่เป็น อ่า, พระอรหันต์เท่านั้น คนทั่วไปก็ไม่ต้องพูดถึง โดยมากมันก็ต้องเป็นไปด้วย อำนาจของ อวิชชา เกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และเป็นทุกข์ เพราะว่าเรามันยังไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นสิ่งที่อยู่กับเนื้อกับตัวของคนทุกคน ในกาย ในใจ นี่มันมีอะไร ๆ ที่เป็นปฏิจจสมุปบาท ทำไมไม่เห็น ถ้าไม่เห็นก็ไม่เห็นธรรม ถ้าไม่เห็นธรรม ก็คือ ไม่เห็นพระตถาคต คือ ไม่เห็นพระพุทธเจ้า นี่ขอให้สังเกตให้ดี ๆ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็น ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทอยู่ที่ไหน อยู่ที่ช้างตัวโต ๆ ที่เรียกว่า คน ตามธรรมดาสามัญ ที่ยัง หนาไปด้วยกิเลสนั่นแหละ
งั้นเรื่องจึงมีว่า จะต้องพยายามให้เห็นธรรม จึงจะเห็นพระพุทธเจ้า นี้ก็กลายเป็นพระพุทธเจ้า ที่ลึกเข้าไป กว่าที่จะเป็นเพียงคนคนหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างอย่างคนคนหนึ่ง เหมือนที่อุปกะอาชีวก เขาเห็น เขาเดินสวนทาง และก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร เพราะไม่เห็นธรรม แต่คนอื่นเขาเห็นธรรม เขาเลย ได้รับประโยชน์
พระพุทธเจ้าในชั้นที่ ๒ คือ พระพุทธเจ้าอย่างธรรม หรือพระธรรม ก็ต้องเห็นธรรม คือ ความจริง ของจริง สิ่งที่มีอยู่จริง ที่เกี่ยวกับการเกิดขึ้น แห่งความทุกข์ และความดับลงแห่ง ความทุกข์ คู่กันอยู่ แต่ไม่ใช่เห็นในตัวหนังสือ ในหน้ากระดาษ ในตำราเรียน หรือไม่ใช่เพียงแต่ฟัง อาตมาพูดจ้อ อยู่บนธรรมมาสน์ มันต้องไปมีความรู้สึก ต่อสิ่งเหล่านี้ ที่มีอยู่ในเนื้อติดตัวของคน ทุกคน คือ มีตา และตาเห็นรูป ก็เกิดการเห็นรูป เกิดผัสสะ เกิดเวทนา ตัณหานั่น ให้ไปรู้สึกกันจริง ๆ ที่นั่น จึงจะเรียกว่า เห็นปฏิจจสมุปบาท ก็คือ เห็นความจริงที่ว่า ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ความทุกข์จะดับลงไปอย่างไร
พระพุทธเจ้าท่าน ได้ทรงเห็นข้อนี้ ตรัสรู้ คือ ตรัสรู้ข้อนี้ รู้สึกต่อข้อนี้ จึงเรียกว่า ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า คือ ธรรมะนี้เอง ที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ นี้เราก็อย่างเดียวกันอีก ก็ต้องอาศัยธรรมะข้อนี้ จึงจะกลายเป็นอย่างเดียวกัน กับที่พระพุทธเจ้าท่านได้กลายไปเป็น เป็นอะไร เดี๋ยวค่อยว่ากัน
ทีนี้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้าพูดสั้น ๆ ที่สุด ก็เรียกว่า เรื่องอริยสัจ ๔ ทุกข์กับเหตุให้เกิด ทุกข์ ความดับสนิทแห่งความทุกข์ หนทางให้ถึงความดับสนิทแห่งความทุกข์ นี้ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวเอาไว้ ในรูปอีกรูปหนึ่ง เรียกว่า อริยสัจ ๔ ถ้ายังจะกล่าวว่า ในรูปอย่างอื่น อีกก็ได้ แต่รวมความแล้ว ก็ต้องเห็นทุกข์กับเห็นความดับทุกข์ ที่มันจะเกิดขึ้นมา เป็นลำดับอย่างไร หรือจะดับลงไปโดยลำดับอย่างไร อย่างนี้ เรียกว่า เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดพยายามเห็น ก็จะได้เห็น พระพุทธเจ้า ชนิดที่เป็นธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงบุคคล
เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาท อ่า, มันก็จะช่วยได้มากทีเดียว ที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้า อย่างชนิดที่ ๓ คือ พระพุทธเจ้าที่เป็นความว่าง ตอนนี้ก็พูดล่วงหน้าได้เลยว่า อะไร ๆ มันก็เป็นความว่าง แม้แต่ พระพุทธเจ้า ก็เป็นความว่าง พระธรรมก็เป็นความว่าง พระสงฆ์ก็เป็นความว่าง ถ้าเราจะกล่าวถึง สิ่งทั้ง ๓ เป็นหลัก ก็เพราะว่าเป็นเพียงธรรมชาติ ปราศจากตัวตน ไม่มีความหมายแห่งตัวตน มันว่าง จากตัวตน หรือความหมายแห่งของตน มันจึงว่าง
ข้อนี้ ก็มีพระบาลี อยู่เป็นหลักว่า ไอ้ที่ เรียกว่า ว่าง ว่าง กันนั้นมันว่างจากอะไร หรือว่ามันไม่มีอะไร สักทีเดียว ก็ตอบได้ว่า มันมี อ่า, ธรรมประเภท ที่เป็นสังขตะ มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นอสังขตะ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มันก็มีคำเหล่านี้อยู่ ปรากฏอยู่ แต่ในธรรมทั้ง ๒ อย่างนั้น มันไม่มีตัวตน เออ, และของตน คือ ไม่มีความหมายแห่งตัวตน ไม่มีความหมายแห่งของตน เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ว่างไปหมด ความทุกข์ก็ว่าง ความดับทุกข์ก็ว่าง นิพพานก็ยิ่งว่างที่สุด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ เป็นธรรมสังขตะ หรืออสังขตะ แล้วแต่เรื่อง แล้วแต่ว่า จะไประบุ กันที่ส่วนไหน ยิ่งเป็นธรรมเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น มันก็ปราศจากความหมาย แห่งตัวตน และของตนเรียกว่า ว่าง
นั้นการจะได้เห็นว่า ธรรมทั้งปวงว่าง นี่มันเป็นการเห็นที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกว่า แทนที่จะเห็นที่ ตัวธรรม ชื่อนั้นชื่อนี้ มีลักษณะอย่างนั้น อย่างนี้ ที่เห็นธรรมนั้นลึกต่อไป อีกจนเห็นเป็นว่าง พระพุทธเจ้าท่านก็เห็น ธรรมลึกถึงขนาดที่เห็นเป็นว่างไปหมด เพราะอะไร ๆ ที่มันประกอบกันขึ้น และก็สมมติเรียกกันว่าสัตว์ ว่าบุคคลนี้มันล้วนแต่ว่าง คือ เป็นอนัตตา ว่างจากตัวตนและของตน
ทีนี้ดวงจิต หรือปัญญา หรืออะไรของท่านก็ตาม ที่เห็นสิ่งนี้แหละ คือ พระพุทธเจ้าในชั้น สูงสุด คือ เห็นว่าง เพราะตัวจิต ตัวปัญญาตัวที่เห็น มันก็ว่าง แล้วสิ่งที่เห็นก็ว่าง ผู้เห็นก็ว่าง อะไร ๆ ที่มันเนื่องกัน มันก็ล้วนแต่ว่างไปหมด เช่น ถ้าเรารู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยแท้จริง แล้วก็จะเห็นว่า มันไม่มีตัวมีตน เท่าที่ส่วนไหนของปฏิจจสมุปบาทเลย มันก็ว่างไปหมด ตั้งแต่ต้นจนปลาย ตั้งแต่ ปลายมาต้น ทั้งขาขึ้นขาลง ทั้งขาเกิดและขาดับ มันก็ว่างไปหมด คือ ว่างจากตัวตน
ถ้าเห็นอย่างนี้ นี่ ก็คือ การเห็นความว่าง จิตผู้ที่เห็นก็ว่าง ปัญญาที่เห็นก็ว่าง นั้นพระพุทธเจ้า จึงกลายเป็นความว่าง เหมือนกับทุกอย่างเหมือนกัน นี่คือ ข้อที่พระพุทธเจ้า ท่านจะ พาให้คนลอด รูเข็มไปได้ ถึงขนาดที่เรียกว่า พาช้างลอดรูเข็มไปได้ ทำไมจึงพูดว่า มันยากลำบาก ถึงขนาดนี้ ก็เพราะว่า การที่จะทำให้คนเกิดสติปัญญา มองเห็นความว่างนี่ มันยาก มันลำบากเหลือเกิน จึงเปรียบความยากนี้ว่า มันเท่ากับว่าจะจูงช้างลอดรูเข็ม ความยากลำบากนี้ ได้ปรากฏชัด อยู่ใน เรื่องราวที่ว่า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ พิจารณาธรรมที่ตรัสรู้นั้นอยู่ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ธรรมนี้ ลึกประณีตละเอียดสุขุม เป็นธิรานุ โพโท(นาทีที่ 35:17) ยากที่สัตว์ธรรมดาทั้งหลายทั้งปวง จะมองเห็นตามได้ ท่านก็เลยท้อพระทัย คิดว่าจะไม่สอนแล้ว มันลึกเหลือเกิน เรื่องความว่างนี่ มันลึกเหลือเกิน แต่ในที่สุดท่านก็กลับพระทัยว่า สอนดีกว่า
เพราะฉะนั้น จะมีคนบางคน ที่มันมีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย มันอาจจะรู้ได้ มันจะเข้าใจได้ ถ้าเราไม่สอนเสียเลย ไอ้คนพวกนี้มันจะเสื่อมจาก ทรัพย์อันประเสริฐที่มันควรจะได้ ท่านจึงตั้ง พระทัยใหม่ กลับพระทัยขึ้นใหม่ ว่าสอน สอน เพื่อว่าคนบางคน ที่มันมีขี้ฝุ่น อ่า, ในดวงตา แต่เพียง เล็กน้อย มันจะเข้าใจได้ ที่เรียกว่า สัตตาปปะระชักขะชาติกา(นาทีที่ 36:11) สัตว์ที่มีธุลีอยู่ในดวงตา แต่เล็กน้อย มันมีอยู่ในโลก แม้จะไม่มีกี่ตัวก็ตาม
พระองค์ก็ทรง อ่า, ตั้งพระทัยว่าสอน จึงได้ประกาศสอน สิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ มันมีใจความ สำคัญ คือ เรื่องอนัตตา ได้สอนปัญจวัคคี ๕ รูป ให้รู้ถึงข้อนี้เป็นชุดแรก และได้เป็นพระอรหันต์ เรื่องอนัตตานี้ เกี่ยวกับเบญจขันธ์ทั้งนั้น แต่ในอนัตตลักขณสูตร(นาทีที่ 36:54) นั้นย่อ ๆ เกินไป ถ้าจะดูกันให้ละเอียดแล้ว ก็ไปดูในข้อความที่สอนพระราหุล ในราหุโลวาทสูตร(นาทีที่ 37:03) จะแยกขันธ์ ๕ อย่างละเอียด เออ, น่าฟังไพเราะที่สุด แล้วก็ชี้อนัตตาแก่ เวทนาคตัง สัญญาคตัง สังขารคตัง (นาทีที่ 37:13)อะไร ไปหาอ่านเองก็ได้ ใจความก็คือว่า ให้เห็นอนัตตา ในเบญจขันธ์ทั้ง ๕
เห็นอนัตตา คือ เห็นไม่มีตัวตน ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน มันเลย เลยพาลว่างกันไปหมด เห็นโลกทั้งหมดว่าง เพราะว่างจากตัวตนของตน เห็นตัวเองก็ว่าง จิตที่เห็นก็ว่าง สิ่งที่ถูกเห็นก็ว่าง เลยว่างกัน เว้งว้างไปหมด แต่มันประกอบ ด้วยความรู้ สติปัญญาที่ถูกต้อง ไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่คน เคลิ้ม ไม่ใช่คนฝัน นั้น การทำวิปัสสนาที่ถูกต้อง ทำให้เห็นความจริงข้อนี้ เห็นความว่าง ไม่มีตัวกู ที่ไหน ที่สิ่งใด ไม่มีของกูที่สิ่งไหน ที่สิ่งใด นี่เรียกว่า ว่างเหมือนกันไปหมด และจะเป็นความว่าง ที่เห็นอย่างเดียวกันกับ ครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านเห็น และที่สาวกของท่าน ที่สามารถจะเห็น และเป็น พระอรหันต์ไปได้ ก็เป็นว่างด้วยกันจึงพากันไปได้ เพราะว่าความว่างนี้ อย่าว่าแต่รูเข็มเลย ให้มันเล็ก กว่ารูเข็ม เป็นร้อยเท่าแสนเท่า มันก็ลอดไปได้ อ่า, เพราะมันเป็นความว่าง
งั้นผู้ใดจะหายตัวลอดรูเข็ม ก็ต้องศึกษา เรื่องความว่าง คือ สุญตา พอเป็นสุญตาแล้ว ให้มัน เล็กกว่า รูเข็มมันก็ลอดไปได้ แต่การที่จะทำให้เห็นสุญตานี่ มันยากลำบากเท่ากับ ไสช้างลอดรูเข็ม นั้น ขออภัยที่จะพูดว่า สงสารพระพุทธเจ้ากันบ้างเถิด ไอ้ช้างโง่ ๆ ทั้งหลายนี่ ถ้าขอบพระคุณ พระพุทธเจ้า และก็ควรสงสารพระพุทธเจ้ากันบ้างเถิด ไปอ่านประวัติของท่าน ดูท่านพยายาม เหลือประมาณ ที่ต้องพูดกันว่า ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ที่จะไสช้างลอดรูเข็ม ที่จะทำให้ เห็นอนัตตา เห็นสุญตา มันว่างไปแล้ว มันก็ลอดรูเข็ม แห่งวัฏสงสาร กองทุกข์นี้ออกไปได้ นี่พอจะเข้าใจกันได้หรือยัง ว่าพระพุทธเจ้าชนิดที่ ๓ คือ ความว่าง จะพาช้างลอดรูเข็มได้ โดยสามารถทำให้ช้าง ให้มันว่างตามไปด้วย เหมือนท่าน เหมือนพระองค์เอง
นี้ก็เราสรุปความกันที ก็ได้แล้วว่า เรามีพระพุทธเจ้าอยู่ถึง ๓ ชนิด พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ก็ชนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าอย่างธรรมหรือธรรมะนี่ก็ชนิดหนึ่ง และพระพุทธเจ้าอย่างความว่าง นี้อีก ชนิดหนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าสูงสุด
ปัญญาสูงสุด คือ ปัญญาที่เห็นความว่าง ธรรมะ เออ, อันสูงสุด เป็นอภิธรรม ยอดอภิธรรม ก็คือ ความว่าง หรือเรื่องความว่าง ของจริงที่สุดไม่มีอะไรจริงกว่า ก็คือ เรื่องความว่าง ถ้ายังไม่ใช่ ความว่างแล้ว ยังเท็จ ยังหลอก ยังโกหกได้ มันเปลี่ยนได้ สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้อย่างเดียว เออ, คือสิ่งที่ เรียกว่า ความว่างนี่เอง เป็นตถา คือ ความเป็นอย่างนั้น เป็นตถาตา เป็น เออ, ความเป็นอย่างนั้น เป็นอนัญญถตา(นาทีที่ 41:06) ไม่เป็นอย่างอื่น เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นสักว่า เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นอาการที่ว่างจาก ตัวตน ว่างจากของตน
นั้นขอให้สนใจ เรื่องปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาท ที่มีอยู่จริงแท้ในตนตลอดเวลา จนเห็นมันให้ได้ก่อน แล้วก็จะเห็นธรรมข้อนี้ พอเห็นธรรมข้อนี้ ถึงที่สุดแล้วจะเห็นว่าว่าง มีแต่ขันธ์ มีแต่ธาตุ มีอายตนะ มีอาการส่งเสริมปรุงแต่ง ตามหลักของปฏิจจสมุปบาททั้งนั้น ก็เลยเป็นช้างชนิด ที่พระพุทธเจ้าท่านโปรดได้ พาลอดรูเข็มไปได้ ในลักษณะอย่างนี้เอง นี่เป็นความ อืม, จริง ที่จะได้ เรียกได้ว่า เป็นปรมัตถสัจจะ หรือว่าเป็นธรรมสัจ ธรรมสัจจะ ตัวแท้แห่งธรรมะ ถ้ารู้แล้วทำให้เอาตัวรอดได้ พ้นไปจากความทุกข์ได้ เป็นเรื่องที่ควรจะนำมาพูดกัน ในวันสำคัญ เช่น วันนี้ คือ วันวิสาขบูชา อาตมาจึงได้เลือกเอาเรื่องนี้มาพูด ขอให้ท่านทั้งหลาย เออ, สนอง เออ, ความประสงค์อันนี้ พิจารณาดูให้ดี ๆ รับฟังให้ดี ๆ ก็จะได้รับประโยชน์ สมกับการที่เรามาประชุม กัน ในวันอันสำคัญ หรือวันศักดิ์สิทธิ์นี้ เพื่อ เออ, ทำวิสาขบูชา
นี่ธรรมเทศนา ที่เป็นบุพพาปรลำดับ(นาทีที่ 42.59) สืบต่อจากธรรมเทศนา ในตอนบ่าย ก็มีอยู่ อย่างนี้ ว่าช้างนี้อาจจะลอดรูเข็มได้ ถ้าเรามีพระพุทธเจ้าชนิดที่แท้จริง ไม่ต้องกลัว ช้างนี้จะลอดรูเข็ม ได้ ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน เข้าถึงพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ก็จะไม่ เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบกับพระพุทธศาสนา และก็เป็นพุทธบริษัท และได้เสียสละมา ด้วยความยากลำบาก จากทิศทางต่าง ๆ มาสู่สถานที่นี้ เพื่อจะทำวิสาขบูชา ขอให้สำเร็จประโยชน์ ในการมา ในการรู้จักธรรมะนี้ ที่เป็นเครื่องกระทำซึ่งความว่าง จากตัวตน และของตนด้วย กันจงทุกคนเถิด
ธรรมเทศนา เออ, ในตอนนี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติธรรม เออ, เทศนากัณฑ์หัวค่ำ ไว้แต่เพียงเท่านี้ ก่อน เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้