แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์และที่จะเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การบรรยายครั้งที่ ๒ นี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าปัญหาหลายประการที่เกิดมาจากการศึกษาอันไม่สมบูรณ์แบบ เราได้พูดกันถึงเรื่องการศึกษาที่สมบูรณ์แบบมาแล้วพอเป็นที่เข้าใจกันได้ ทีนี้ก็จะพูดถึงการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบ ว่าจะนำมาซึ่งปัญหาอย่างไรบ้าง การพูด(ครั้ง)นี้นั้นเป็นความเห็นหรือเป็นสิ่งที่เคยสังเกตมาและรู้สึกอยู่ มันเป็นเรื่องทั่วไปทั้งโลก ไม่เฉพาะประเทศไทยเรา ในความเป็นครูนั้นมันเป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของมนุษย์เป็นส่วนรวม ถ้าเราจะพูดว่าสถาบันของครูนั้นก็หมายถึงครูทุกคนในโลกที่กำลังนำโลกไปอย่างไร
โลกนี้มันถูกสร้างขึ้นด้วยการศึกษานั่นเอง ไม่ ไม่ลึกซึ้งอะไรที่จะมองให้เห็นว่าโลกนี้สร้างขึ้นมาด้วยการศึกษา คือคนเราได้รับการศึกษาอย่างไรมันก็ทำไปตามที่ได้รับการศึกษานั้น ดังนั้น โลกมันก็อยู่ในสภาพอย่างนั้น จึงเรียกว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สร้างโลกไม่ผิดเลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอาชีพของคนๆ หนึ่งที่ทำงานหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปด้วยการสอนหนังสือ ขอให้มองเห็นให้กว้างให้ไกลว่ามันเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่ครอบโลกเหมือนกับสถาบันอื่นบางอย่าง เช่น สถาบันตุลาการ(ซึ่ง)เป็นสถาบันที่รักษาความเป็นธรรมทางกฎหมายอะไรของโลก แล้วมันก็เป็นสถาบันอันหนึ่งที่ใหญ่มาก แต่คิดว่าไม่ใหญ่เท่าสถาบันของพวกครู ครูบาจารย์ที่เป็นผู้อำนวยการศึกษา เพราะมันปั้นโลกได้เต็มที่ ถ้าการศึกษาผิดไอ้โลกนี้มันก็เป็นโลกของมนุษย์ที่ผิด ถ้าการศึกษามันถูกก็เป็นโลกที่น่าดู ดังนั้นเมื่อพูดถึงการศึกษาเราก็จะนึกถึงเรื่องของมนุษย์ทั้งโลกมากกว่า การที่ท่านทั้งหลายมาขอร้องให้อาตมาพูดอะไรสักอย่างสองอย่างในช่วงระยะเวลานี้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะพูดยิ่งไปกว่าไอ้เรื่องที่จะช่วยให้เข้าใจความหมายของการศึกษา หรือของความเป็นครูบาอาจารย์ให้ลึกซึ้งนั่นเองเท่านั้นเอง ในเรื่องนอกนั้นก็มีสอนกันอยู่แล้วทั่วๆ ไปในวิทยาลัย ที่พูดโดยหลักวิชาแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ที่จะพูดในเรื่องของอุดมคติหรือสิ่งซึ่งมันจะเป็นเครื่องกระตุ้นให้การงานของครูบาอาจารย์นี้เป็นไปอย่างเต็มที่ คือ สูงสุดตามความหมายของคำๆ นี้ คือคำที่เรียกว่าครู (ซึ่ง)เป็นผู้เปิดประตูหรือเป็นผู้นำวิญญาณของสัตว์ให้เดินไปถูกทาง ในครั้งที่แล้วมาก็ได้พูดถึงกับเปรียบเทียบว่ามันเป็นสถาบันที่คุ้มครองโลกอย่างเดียวกับศาสนาที่อยู่ในรูปของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีผู้ให้ธรรมะ มีธรรมะสำหรับให้ และก็มีผู้รับเอาธรรมะไปปฏิบัติ แล้วก็ให้กันต่อไปอีกอย่างไม่มีสิ้นสุด บางคนอาจจะคิดว่านี่จะประจบพวกครูเกินไปแล้วหรือว่าให้เกียรติพวกครูเกินไปแล้ว แต่นี่พูดไปตามความรู้สึกที่แท้จริงตามที่มองเห็น อย่างพวกครูก็เป็นผู้สร้างโลก ทีนี้บางคนอาจจะคิดว่าเอามาพูดกับครูเป็นรายบุคคลหรือครูที่ยังเยาว์วัยอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ก็อยากจะพูดว่าเป็นการดีที่จะพูดให้รู้กันเสียตั้งแต่ต้น ตั้งแต่แรกเริ่ม มันจะได้ติดอยู่ในใจ จะได้เจริญงอกงามแล้วก็ฝังอยู่ในใจตลอดเวลานาน (ให้)มันเป็นการเข้าใจที่ถูกต้องไปเสียแต่ทีแรก เพราะว่าครูผู้นั้นจะได้ไม่เสียใจทีหลังว่าเราต้องรู้จักทำตนให้เป็นครูที่สมบูรณ์แบบสายเกินไป ควรจะรู้ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที อย่างนี้เหมือนกับว่าเป็นการหว่านเมล็ดพืชที่ดีลงไปในจิตใจสำหรับงอกงามขึ้นมาเป็นครูที่สมบูรณ์แบบ ขอให้รับเอาไว้ในลักษณะอย่างนี้ก่อนก็ได้ ถ้ายังไม่ชอบหรือว่าไม่พอใจที่จะเคารพนับถือตัวเองมากถึงอย่างนั้น
แต่เรื่องอายุนี้มันว่ากันไม่ได้ บางทีอายุมากหัวหงอกแล้วมันก็ไม่รู้ประสีประสาอะไร ยังเป็นเด็กๆ อยู่ก็มีสติปัญญาพอทีจะเข้าใจเรื่องของอุดมคติได้ ก็ถือว่าพวกครู ครูบาอาจารย์นี้เป็นคนมีปัญญาอบรมมาอย่างคนมีปัญญา ก็ควรจะพูดเรื่องที่เป็นอุดมคติกันได้ อย่าให้ได้กลายเป็นครูผีเสื้อ ครูผีสิงอะไรเสียก่อนแล้วจึงค่อยมานึกได้ทีหลัง มันสายเกินไป ครูผีเสื้ออย่างที่พูดมาแล้ว มันมีเสื้อสวยๆ มากเกินไปสำหรับแต่งตัวอวดคนอื่น มันเป็นไปนานเกินไปมันก็อาจจะกลับไม่ได้ ดังนั้นอย่าเป็นเสียแต่ทีแรกจะดีกว่า เป็นครูตามอุดมคติ ช่วยกันจัดการศึกษาให้มันสมบูรณ์แบบ คือเป็นการศึกษาที่ไม่เป็นทาสของกิเลส การศึกษาที่เป็นทาสของกิเลส มันก็พาไปหาแต่เรื่องทางวัตถุ บางคนก็คอยแต่จะเอาเปรียบ ที่เรียกกัน(ว่า)คอรัปชั่นบ้างอะไรบ้าง คือการศึกษาที่มันเป็นทาสของกิเลส กระทั่งกิเลสของคนๆ นั้นเอง ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือหาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เหมือนกับการศึกษาที่มันเป็นทาสของกิเลส มันก็เป็นการทำลาย สร้างโลกที่เลวขึ้นมา ถ้าครูเรารู้ไอ้หลักเกณฑ์เหล่านี้ไว้แต่ทีแรก รู้จุดหมายปลายทางว่าจะต้องเป็นอย่างไร อาตมาเชื่อว่ามันยังดีมากทีเดียว ทีนี้จะได้เคารพเกียรติของครูว่าจะถูกเปรียบไว้กันกับวงกลมของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่คุ้มครองโลก ทีนี้เราก็เป็นครูคือผู้ให้และวิชาที่ให้ และก็ผู้รับเอาไปสอนต่อๆ กันไป นี่คือข้อความในครั้งที่แล้วมา เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าการศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั่นนะมันก็มีได้จากครูที่เป็นครูสมบูรณ์แบบ และเป็นการศึกษาที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ แล้วก็มีลูกศิษย์หรือผู้รับเอาไปอย่างสมบูรณ์แบบ อันเป็นศิษย์ที่ดี ต่อมาก็เป็นครูที่ดี แล้วให้ต่อไปเป็นวงกลมที่คุ้มครองโลกไว้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด โลกนี้ก็เป็นโลกของมนุษย์ คือสัตว์ที่มีใจสูงเต็มไปด้วยสันติสุขส่วนบุคคล เป็นสันติภาพ และส่วนรวมของสังคม เราจึงพูดถึงเรื่องการศึกษาที่สมบูรณ์แบบกันเสียให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง
ทีนี้เพื่อประกอบหรือว่าสนับสนุนให้พอใจในการศึกษาที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ก็จะพูดถึงโทษหรืออันตรายของการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนด้วยเหมือนกัน เราจะเรียกว่าปัญหาที่เกิดมาจากการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งกำลังเป็นอยู่ทั่วๆ ไปในโลกนี้ ขออย่าได้ถือว่ามันเป็นเรื่องที่สูงหรือไกลเกินไปกว่าฐานะของเรา ในการที่ว่าเราจะมองดูโลกให้เข้าใจโลกและช่วยกันจัดโลกนี้ให้มันเหมาะสม เป็นหน้าที่ของครูอยู่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เวลานี้ทั้งโลกกำลังมีปัญหาอย่างเดียวกันหมด ขอให้คำพูดนี้มันเป็นคำพูดที่เล็งถึงโลกโดยส่วนรวม ไม่ใช่ว่าจะดูถูกเหยียดหยามตัวเองหรือเหยียดหยามคนไทย ประเทศไทย หรือการศึกษาของไทย มันเป็นการกล่าวไปตามที่เป็นจริงว่าเรามันกำลังมีการศึกษาที่ตามก้นพวกฝรั่งถึง ๙๐ เปอร์เซนต์ นิยมไอ้อะไรๆ ทั้งหมดของพวกฝรั่ง ไปเรียนมา ไปขนเอามาอะไรก็ตาม มันเป็นการไปทำตามเขา เรื่องของเรามันจึงไม่มีปัญหา มันมีปัญหาอยู่ที่คนที่เป็นผู้นำการศึกษาในโลก คือประเทศที่เป็นประเทศที่ได้รับยกย่องว่ามีเกียรติหรือเป็นผู้นำในการศึกษาแล้วก็ไปดูไปเรียนไปขนเอามาจากที่นั่น ดังนั้นเป้าหมายของการพูดจานี้ก็มุ่งไปยังที่นั่น ทั้งที่ว่าเราไม่อำนาจอะไรที่จะไปแก้ไขเขาล่ะ แต่เราจะดูให้รู้สำหรับแก้ไขเรา โลกมันมีปัญหาอย่างเดียวกันก็เพราะเหตุนี้ เพราะมันไปตามๆๆๆ กันไปหมด ไปเหมือนๆ กันไปทั้งโลก ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งง่ายดายที่สุด การไปรอบโลกไปได้นะในเวลาอันสั้น ไปเอาอะไรมาที่ไหนเมื่อไรก็ได้ จึงเหมือนๆ กันไปหมด แล้วเวลาเราล้าหลังเขาเราก็ตามเขา ถ้าเราไม่รู้เท่า เราก็ตามไปทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะตาม ก็เลยมีอะไรๆเหมือนๆ กันไปหมด
ทีนี้ปัญหาที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้จึงเหมือนกันไปหมด อยากจะใช้คำพูดที่ค่อนข้างจะฟังแล้วมันปวดกะโหลกไปหน่อย แต่ก็ไม่มีคำอื่นที่จะดีกว่านี้ในการที่จะช่วยให้ฟังง่ายๆ จำง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ในเมื่อจะพูดถึงไอ้โลกที่มันกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู จะใช้คำที่มันไม่น่าฟัง(ว่า) เดี๋ยวนี้ศีลธรรมในโลกกำลังแฟบ นี่คือหัวข้อที่ฝากไว้ให้ช่วยดูช่วยคิดกันตลอดไปว่าศีลธรรมนี้มันแฟบ แทบจะเป็นโลกที่ไม่มีศีลธรรม เมื่อศีลธรรมมันแฟบ การศึกษามันก็เฟ็ด(15.07) ออกไปนอกลู่นอกทาง เมื่อการศึกษามันเฟ็ดประชาธิปไตยมันก็เฟ้อ เฟ้อจนไม่รู้ว่าความเป็นธรรมมันอยู่ที่ไหน เมื่อประชาธิปไตยมันเฟ้อยุวชนมันก็ฟุ้ง ตัว ป. นั่นเห็นไหม ... (15.38) ไอ้ยุวชนฟุ้ง คุณเข้าใจได้ คุณจะเข้าใจได้ยิ่งกว่าอาตมาเสียอีกว่ายุวชนกำลังฟุ้งอย่างไร เมื่อยุวชนมันฟุ้งการปกครองมันก็เฟือน กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ประโยชน์อยู่เหนือกฎหมาย ความรอดตัว อยู่เหนือกฎหมาย นี่เรียกว่าการปกครองมันก็เฟือน เมื่อการปกครองมันเฟือนไอ้การเมืองมันก็ฟุบ ที่นี้เรามีการเมืองที่ฟุบจนไม่เป็นที่ไว้วางใจ(ของ)ใครทั้งในประเทศทั้งนอกประเทศ เมื่อการเมืองมันฟุบไอ้สังคมมันก็เฟะ สังคมไทยด้วยสังคมทั้งโลกมันกำลังเฟะ สังคมมันเฟะทำให้เศรษฐกิจมันฟ่าม ไม่มีรสไม่มีชาดอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เศรษฐกิจมันปั่นป่วนมันฟ่าม มันไม่มีสาระที่จะช่วยให้ประเทศหรือมนุษย์รุ่งเรืองมั่นคง เมื่อเศรษฐกิจมันฟ่าม ไอ้ศาสนามันก็พลอยฟั่น ฟั่นเป็นเกลียวหลายๆ เกลียวยุ่งไปหมด เราเรียกว่าศาสนามันฟั่น ฟั่นเฝือจนไม่รู้จะเอายังไงกันแน่ เอาไสยศาสตร์มาเป็นศาสนา เอาศาสนาไป แท้จริงไปทิ้งเสียที่ไหน หรือเอาไปเป็นประโยชน์แก่การเมือง นี่ศาสนาฟั่นมันเฝือ เมื่อศาสนามันฟั่น วัฒนธรรมมันก็เฟี้ยว คือมันบ้า ไอ้วัฒนธรรมมันกำลังเป็นบ้า มันเฟี้ยวไปตามกระแสคลื่นลมที่ไม่อยู่ในรูปแบบหรือร่องรอย วัฒนธรรมเฟี้ยวแล้วประเทศชาติมันก็ฟอน คือมันถูกอะไรฟอนเหมือนกับหนอนด้วงไชฟอนทะลุปรุพรุนไปหมด อย่างนี้เรียกว่าฟอน ประเทศชาติกำลังฟอน เมื่อประเทศชาติมันฟอนแล้วไอ้รัฐธรรมนูญมันก็เป็นฟาง มันเป็นกระดาษฟางไม่ใช่กระดาษข่อยแล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญมันฟางแล้วไอ้ความเป็นไทยมันก็เฟื้อย เดี๋ยวนี้เรามีความเป็นไทยที่เฟื้อยเลื้อยเจื้อยไปอย่างไม่เป็นตัวเอง นี่ ๑๓ หัวข้อแล้วมันจะมากเกินไปแล้วพอกันที ถ้าทำได้ก็เชิญเอาไปคิดเพื่อการแก้ไข ศีลธรรมแฟบ การศึกษาเฟ็ดประชาธิปไตยเฟ้อ ยุวชนฟุ้ง การปกครองเฟือง เอ๊ย,เฟือน การเมืองมันฟุบ สังคมมันเฟะ เศรษฐกิจมันฟ่าม ศาสนามันฟั่น วัฒนธรรมมันเฟี้ยว ประเทศชาติมันฟอน รัฐธรรมนูญมันฟาง ความเป็นไทยมันก็เฟื้อย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการศึกษาไม่ถูกต้อง การศึกษาไม่สมบูรณ์แบบตรงตามกฏของธรรมชาติ หรือที่พระเจ้าต้องการ อย่าลืมนะ ขอเตือนไว้ด้วยว่านี่ไม่ได้พูดเฉพาะประเทศไทย ประเทศไหนก็เหมือนกัน ที่ผ่านมาแล้วเรากำลังตามเขา เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเราไปตามเขา นี่ทั้งโลกที่มันเป็นส่วนผู้นำควรจะรับผิดชอบ แต่นี่เราก็ไม่ได้ไปคิดค่าเสียหายอะไรจากใครได้ เราก็ต้องมาพิจารณาดูเพื่อจะช่วยตัวเราเองให้มันรอด
ข้อที่ ๑ ที่ว่าศีลธรรมมันแฟบนี่ มันเกี่ยวข้องกัน มันเป็นเหตุผลแก่กันและกันกับการศึกษา ถ้าการศึกษาถูกต้องศีลธรรมก็ต้องถูกต้อง การศึกษามันสมบูรณ์ ศีลธรรมมันก็สมบูรณ์ หรือเรายกเอาศีลธรรมขึ้นมาเป็นข้อแรก ทั่วไปทั้งโลกสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมกำลังแฟบ จนถึงกับว่าพลัดออกไปเสียจากวงการศึกษา ไม่มีสอนในโรงเรียนในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัย สอนบ้างพอเป็นพิธีสำหรับนักเรียนจดใส่สมุดไว้แล้วก็ปิด ถึงกับว่าจะสอนศีลธรรมกันสักทีต้องแต่งบทละครขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง แล้วมาเล่นให้ดู ต้องง้อกันเสียอย่างนั้น คนถึงสนใจคำว่าศีลธรรม ต้องแต่งเพลงให้ร้องบ้าง ต้องสร้างหนังให้ดูบ้าง มันโง่เกินกว่าที่จะเรียกว่าโง่ ไปลงทุนถึงขนาดนั้นแล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้ประโยชน์ที่จะเกิดความรู้สึกทางศีลธรรมขึ้นในจิตใจ เพราะว่าเด็กๆ เขาก็ไปรับเอาแต่ส่วนที่มัน(เป็น)เรื่องของกิเลส ส่วนที่เป็นเรื่องศีลธรรมมันไม่ได้ถูกรับเอามา มันเอาไปปนกันเข้า ก็ถูกคัดแยกออกไปเฉพาะส่วนที่มันตรงกับกิเลส ทีนี้การสอนเรื่องเพศศึกษานี้เป็นความโง่ชนิดหนึ่งที่เขาไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาจะเลือกคัดเอาไอ้แต่ส่วนที่เป็นเรื่องเพศ ไอ้เรื่องการศึกษาเขาไม่ได้รับมันๆ เลือนหายไป มันไม่ได้ผลอย่างนี้ เรื่องศีลธรรมนี่ยังไม่รู้ว่าคืออะไรกันเสียมากกว่า
ศีลธรรมแปลว่าธรรมที่ทำความปรกติหรือผลที่เป็นความปรกติหรือความปรกติอยู่ตามธรรมชาตินี้เราเรียกว่าศีลธรรม เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ประพฤติ ไม่ได้ประพฤติในสิ่งที่จะช่วยให้เกิดความปกติสุข เพราะเราไม่สอนกันนี่ ก็เลยไปทำสิ่งที่ตัวชอบใจตามชอบใจ จะปรกติหรือไม่ปรกติก็ไม่รู้ มันจึงมีอาชญากรรมมากขึ้นเท่าที่กับ เท่าที่ศีลธรรมลดลงไป นี่ทางหนึ่งมันมีเรื่องที่ยั่วยวนให้กิเลสมันแก่กล้า เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทั้งโลกมันระดมทุ่มเทความรู้ ความคิดหรือการติดอะไรต่างๆ ติดแต่สิ่งที่มันจะช่วยให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินบันเทิงเริงรื่น เพราะมันขายได้ เพราะเขาต้องการเงิน เขาจึงขวนขวายกันแต่ในด้านนี้ คนจึงหลงในความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน ทางศาสนาเขาเรียกกันว่าเรื่องทางเนื้อหนัง เรื่องกิเลสเขาเรียกกันว่าเรื่องทางเนื้อหนัง ไม่ใช่เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องพระเจ้า ทีนี้ทุกคนทุกแห่งมันจึงเป็นเรื่องยั่วยวนทางเนื้อหนัง มีแต่การสร้างขึ้นที่นั่นที่นี้ที่โน้น แล้วก็มีกิจกรรมที่เป็นไปเพื่ออย่างนั้นเต็มไปหมด ในๆ ประเทศไทยเราก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเทียบกันกับเมื่อสมัย ๕๐ ปีมาแล้วก็น่าใจหาย ซึ่งสมัย ๕๐ ปีที่แล้วมันหาไม่ค่อยจะได้ไอ้สิ่งยั่วยวนให้มันหลงใหลในเรื่องเนื้อหนัง มันหาไม่ค่อยจะได้ เดี๋ยวนี้มันเต็มไปหมดไป มันจนล้นจนเอ่อไปหมด ไอ้ความมีศีลธรรมมันก็ทนอยู่ไม่ได้ ค่อยๆ ละลายหายไปโดยไม่รู้สึกตัว เพราะความที่มันค่อยๆ หายไปทีละน้อยทีละน้อย เราไม่ได้รู้สึก ก็ไม่ได้ป้องกันหรือไม่ไม่กลัว ไม่กลัว มันถึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คือ มันต่ำลงไป ทรามลงไปโดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่แสดงให้ปรากฏ พอถึงขนาดที่มันเป็นอันตรายเต็มที่แล้ว มันปรากฏ(ขึ้น)นี่ก็แก้ไขไม่ทัน นี่สภาพของศีลธรรมมันเป็นอยู่อย่างนี้ ความเสื่อมศีลธรรมเข้ามาโดยไม่แสดงให้เห็น ชั่ว ๒๐ ปี ๓๐ ปีนี้มันไปมาก จนเหลือวิสัยที่ว่าลูกเด็กๆ เขาจะต่อสู้หรือต้านทานเอาไว้ได้ มันก็ยอมแพ้แก่ความชั่ว คนโตๆ ก็เหมือนกันไม่สามารถจะต้านทานสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ จึงยอมไปตามอำนาจของอบายมุข โดยเฉพาะเรื่องกามารมณ์เป็นเบื้องหน้าและก็เรื่องเมามายอะไรต่างๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่าประตูแห่งอบาย ประตูแห่งอบายคือดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นนิจ เกียจคร้านทำการงาน มีอยู่ในแบบหนังสือเรียนแล้วไปหาอ่านดู นี่ศีลธรรมมัน มันแฟบก็หมายความว่ามันเหลืออยู่น้อย จนไม่มีเนื้อ จนเหลืออยู่แต่เปลือก คือเป็นเงาๆ หรือเป็นรูปแบบได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ เป็นพิธีรีตอง คือช่วยใครไม่ได้ นี่เรียกว่าศีลธรรมมันแฟบ เพราะการศึกษาไม่สมบูรณ์ถึงกับจะต้านทานไอ้ศัตรูของมนุษย์คือกิเลสมันได้ ศีลธรรมมันแฟบ เพราะการศึกษามันไม่สมบูรณ์ ไม่มีครูที่ดี ไม่มีการศึกษาที่ดี ไม่มีศิษย์ที่ดี หรือว่าถ้ามันมากไปก็คือไม่มีครูที่ถูกต้อง ไม่มีการศึกษาที่ถูกต้อง ไม่มีศิษย์ที่ถูกต้องที่จะดำเนินไอ้การศึกษาไปให้ถูกต้องตามรูปแบบที่พระ พระเจ้าต้องการหรือที่กฎธรรมชาติมันต้องการ กฎธรรมชาตินั้นเฉียบขาด ถ้าทำอย่างนี้ต้องเกิดอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ต้องเกิดอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้นต้องเกิดอย่างนั้น นี่คือกฎธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราไปทำ ไปทำกันในลักษณะที่ได้เกิดอย่างนี้ไง เกิดอย่างอาชญากรรมเต็มไปทั้งโลก ก็ไปอ่านดูเอาเองแล้วกันว่าอาชญากรรมอะไรบ้าง
ที่นี้ข้อ ๒ ที่ว่าการศึกษามันเฟ็ด (Fade) คือมันออกนอกลู่นอกทาง มันเฉไปนอกทาง เพราะว่าการศึกษามันจัดโดยบุคคลที่มีศีลธรรมแฟบ เมื่อคนมันมีศีลธรรมแฟบแต่แล้วมาจัดการศึกษา การศึกษามันก็ต้องเฟ็ดออกไป นอกร่องรอยของธรรมของศีลธรรม มันก็แน่นอนที่มันต้องเป็นไปตามความบีบคั้นของไอ้กิเลสซึ่งไปเป็นทาสของวัตถุนิยม เราจึงมีการศึกษาชนิดที่ทำให้ฉลาด เรียนแล้วฉลาดสามารถ แต่แล้วก็เห็นแก่ตัว เพราะว่าตัวมันพ่ายแพ้แก่กิเลส มันบูชาไอ้เรื่องสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยที่ว่าเป็นเรื่องเนื้อหนัง โดยเฉพาะคือกามารมณ์ทั้งหลาย ผู้เรียนมันมุ่งเพื่อประโยชน์อย่างนั้น ไม่ได้มุ่งตรงไปยังความรู้ความสามารถที่จะควบคุมกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในความถูกต้อง นถ้าางนิดๆ หน่อยๆ เป็นพิธีรีตรตัว ป หรือ ตัว ฟ ให้อยู่ในความสงบหรือสันติสุข อย่าไปเป็นทาสของอารมณ์เหล่านั้น การศึกษาแท้มันมันหมายอย่างนั้น ถ้ามุ่งตรงไปที่นั่นก็เรียกว่าการศึกษามันถูกต้อง หรือมันตรงจุดหมายเป้าหมายที่จะช่วยให้มนุษย์นี้มันมีความเป็นมนุษย์อย่างสงบเยือกเย็นเป็นสุข เดี๋ยวนี้การศึกษามันเฟ็ดมันเลี้ยวไปข้างๆ ตรงไปหาเหยื่อของกิเลสที่กำลังเป็นนายเหนือบุคคลในโลกนี้มากขึ้นทุกที อย่าเข้าใจว่าเป็นไอ้ความกระแนะกระแหนหรือว่าด่าอะไรทำนองนั้น พูดกันตรงๆ เพราะการศึกษามันกำลังเหวี่ยงออกไปนอกทางของไอ้สันติสุขตามที่ควรจะเป็น ถ้าเป็น ถ้าถือว่าการศึกษาเพื่อการรอดก็ถือว่าเป็นการรอดชีวิตตามแบบของคนธรรมดา ถ้าพูดถึงเรื่องศาสนา เดี๋ยวนี้คนมันตายแล้ว คนที่ไม่มีศีลธรรมมีค่าเท่ากับคน(ที่)ตายแล้ว ทีนี้ที่ต่อไปข้างหน้าแม้แต่ชีวิตมันก็จะไม่รอดอยู่ได้นะ ถ้ามีการศึกษาแบบนี้ (แบบที่)เห็นแก่ตัวจัด เห็นแก่ตัวจัดมากขึ้นๆ มันก็จะฆ่ากันอย่างที่เรียกว่ายุคมิคสัญญี ซึ่งมีหวังไม่ได้อยู่ไกลเกินไป ถ้ามีการศึกษาแบบที่เห็นแก่ตัวเรื่อยๆ ไป ในโลกนี้ก็ถึงมิคสัญญี แม้แต่ชีวิตทางร่างกายนี้ก็ไม่รอดอยู่ ถ้าถือทางธรรมะและความรอดคือรอดอยู่อย่างถูกต้อง รอดอยู่อย่างสงบเย็นเป็นมนุษย์ที่มีค่าสมตามความมุ่งหมายของคำว่ามนุษย์ ก็คือรอดอยู่ การศึกษาก็ยังเป็นไปเพื่อความรอดอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเลี้ยวไปหาความตาย คือความเห็นตัวแล้วก็จะทำลายซึ่งกันและกัน ประเทศไทยเราเล็กเกินไปไม่ต้องหยิบขึ้นมาพูด ประเทศใหญ่ๆ แล้วก็นำอยู่เป็นผู้เป็นผู้นำอยู่ในโลกถึงจุดหนึ่งจึงจะทำลายล้างกัน เพราะการศึกษามันทำให้เห็นแก่ตัว แต่รวมกลุ่มของพวกเห็นแก่ตัวกันกลุ่มใหญ่ๆ แล้วก็ทำลายกัน
ทีนี้ข้อที่ ๓ ที่ว่าประชาธิปไตยมันเฟ้อ (เรื่อง)นี้ก็มาจากการศึกษา(ที่)ไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์อีกนั่นแหละ คนจึงไม่รู้ว่าประชาธิปไตยนั้นควรจะเป็นอย่างไร ประชาธิปไตยตามใจกิเลสอย่างนี้มันเป็นประชาธิปไตยไปไม่ได้ เพราะว่าต่างคนต่างก็มีกิเลส แล้วกิเลสของแต่ละคนมันก็ไม่ตรงกัน ดังนั้น ทุกคนมีสิทธิ เมื่อทุกคนมันมีสิทธิที่จะเอาตามกิเลส มันก็คือขัด ขัดขวางกันทันที คือมีการขัดกันทันที จึงได้มีอาการที่เรียกว่าเราๆ เอาตามใจเรา เขาก็เอาตามใจเขา มันก็เป็นอะไรกันคิดดูสิ มันก็เป็นเรื่องที่หลับหูหลับตากระทบกระทั่งกันเท่านั้นเอง (ถ้าจะ)ให้(มีความ)เป็นประชาธิปไตยตามความหมายที่แท้จริงมันต้องทุกคนประกอบอยู่ด้วยธรรม มีการศึกษาดี มีศีลธรรมดี มีการศึกษาดี มีศีลธรรมดี ทุกคนประกอบอยู่ด้วยธรรม มันก็ตรงกันหมดแหละ เอาตามความต้องการของคนทุกคน ไอ้ที่เรียกว่าธรรมนั้นก็รวมตัวกันเข้าเป็นธรรมะอันใหญ่ยิ่ง ทุกคนก็ยึดถือธรรมะ ทีนี้(เมื่อ)ประพฤติปฏิบัติต่อกันและกัน ประชาธิปไตยก็อยู่ในร่องในรอยหรือว่าเป็นแก่นเป็นสาร ไม่ฟุ้งเฟ้อไปตามกิเลสของคนเหมือนที่เป็นๆ อยู่ ในโลกนี้ มีประชาธิปไตยไม่รู้กี่ ๑๐ แบบ ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็มี สังคมนิยมก็มี อะไรอย่างนี้ล้วนแต่มีกันหลายๆ แบบ มันเฟ้อจนมนุษย์ไม่รู้จะเอาอย่างไร มันก็เฟ้อในทางที่จะใช้สิทธิเสรีภาพของตน ก็เลือกเอาตามชอบใจของตน มันก็จะต้องกระทบกระทั่งกันไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะประชาธิปไตยมันเฟ้อ มันไม่รู้ว่าความถูกต้องนั้นอยู่ที่ไหน ทีนี้ถ้าจะบูชาธิปไตย เอ้ย,บูชาประชาธิปไตยก็เอาความถูกต้องเป็นหลักเป็นแกนหรือเป็นแกนของมัน มนุษย์จึงจะอยู่รอดได้ เดี๋ยวนี้ในประเทศไทยเราประเทศเดียวก็มีประชาธิปไตยที่ไม่รู้ว่าจะไปกันทางไหน มันเฟ้อกัน จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะว่าการศึกษามันไม่พอ มันไม่สมบูรณ์ที่จะทำให้รู้จักประชาธิปไตย ยิ่งสอนยิ่งไม่รู้จักเพราะมันสอนไม่ถูกทาง มันสอนไม่ถูกตามจริงของธรรมชาติ ว่าประชาธิปไตยจะต้องเป็นอย่างไร มันสอนถูกตามแต่กิเลสของมนุษย์ (35.04) กิเลสของมนุษย์(ที่)มันบัญญัติ(ขึ้น) มันก็มากรูปมากแบบกันจนพูดกันไม่รู้เรื่อง ทีนี้เราเรียกว่าในโลกนี้มันมีประชาธิปไตยที่หลับหูหลับตา มันก็เฟ้อไปตามเรื่องตามราวของมัน
ทีนี้ข้อ ๔ ประชาธิปไตยเฟ้อยุวชนก็ฟุ้ง คือว่าเมาประชาธิปไตยเฟ้ออย่างผีสิง เมายิ่งกว่ายาเสพติด เมาประชาธิปไตยยิ่งขึ้นกว่ายาเสพติด เสียสละชีวิตก็ยังได้ ยอมตายได้ เมื่อประชาธิปไตยมันเฟ้อ ไอ้ไอ้สิ่งที่เมานั้นก็เฟ้อ ยิ่งเป็นของใหม่ ขนาดที่ว่าเกิดมามันไม่เคยพบ มันเพิ่งจะเคยพบคราวนี้ แล้วมันก็ยิ่งเมากันใหญ่ ถ้าการศึกษาสมบูรณ์ยุวชนจะไม่ฟุ้งอย่างนี้ เดี๋ยวนี้อยากจะพูดอยากจะยืนยัน ไม่กลัวใครโกรธว่าการศึกษาไม่ถูกต้องให้แก่เยาวชน ไม่เพียงพอ ไม่ถูกต้อง ดังนั้นยุวชนจึงไปฟุ้งตามประชาธิปไตยที่เฟ้อ แล้วก็เมาเสรีภาพ เมาอะไรยิ่งกว่ายาเสพติด จนไม่รู้ว่าจะพูดกันให้รู้เรื่องอย่างไรได้ ก็เลยต้องเบียดเบียนกัน ต้องทำอันตรายแก่กันและกัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ขอให้ยุวชนทั้งหลายปรับปรุงตัวเองให้มีการศึกษาให้ถูกต้อง แล้วก็จะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เมื่อเขาทำไอ้สิ่งไม่ควรทำ เราก็ไม่ไปทำ เราก็เก็บตัวเสีย มันก็จะไม่มีใครทำอะไรที่ให้เดือดร้อนได้
ทีนี้ข้อ ๕ ที่ว่าไอ้การปกครองเฟือน เพราะว่าการศึกษามันไม่สมบูรณ์นี่แหละ ทีนี้ผู้ปกครองมันก็เฟือน ผู้ถูกปกครองมันก็เฟือน หมายความว่าประชาชนคนพลเมืองมันก็เฟือน เพราะการศึกษามันไม่ถูกต้อง ไม่มีจุดอันแน่นอนว่าจะเป็นอย่างไรจะเอาอย่างไร มีแต่คอยจะทำตามความต้องการของกิเลส พอคนชนิดนี้ไปเป็นผู้ปกครอง มันก็ปกครองไปตามความรู้สึกของกิเลส นี่เป็นเหตุที่ให้ยุ่งกันไปหมด พูดกันไม่รู้เรื่องในการปกครอง เมื่อกิเลสเป็นใหญ่ แล้วมันก็เห็นแก่ประโยชน์ตามความต้องการของกิเลส การปกครองมันจึงทุจริต เดี๋ยวนี้เราพูดกันมากว่ากฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย คือประโยชน์มันอยู่เหนือกฎหมายหรือว่าความบ้าคลั่งของคนจำนวนหนึ่งมันไม่ยอมเชื่อฟังกฎหมาย ในประเทศไทยเรายังอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ในประเทศใหญ่ๆ เขานั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้มาก ซึ่งเราจะได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอ บุคคลขนาดสูงสุดของประเทศเป็นประธานาธิบดีหรืออะไรก็ตาม มันทำอะไรที่ไม่อยู่ในร่องรอยของการปกครองที่ดี มีประโยชน์ของตนเป็นแกนของไอ้การปกครอง มันฟั่นเฟือนจนถึงกับว่าการปกครองนั้นมันไม่เป็นการปกครอง มันเป็นการแสดงละครอะไรสักพักหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนหน้ากันจนไม่มีหลักเกณฑ์อะไรที่แน่นอน อย่างนี้เรียกว่ามันเฟือน
ทีนี้ข้อ ๖ ที่ว่าไอ้การเมืองมันฟุบ เพราะว่าการเมืองนี้คือระบอบที่เราจัดขึ้นเพื่อให้คนหมู่มากเข้าใจกันได้ ให้คนหมู่มากอยู่กันเป็นผาสุก ให้รู้จักรักใคร่เมตตาอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แลกเปลี่ยนความดีของกันและกัน นี่เรียกว่าการเมือง เมื่อการศึกษามันไม่สมบูรณ์มันไม่ถูกต้องแล้ว พวกนักการเมืองทั้งหลายมันก็ไม่ถูกต้อง ทำไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองมันเอง จนไม่เกิดความเคารพนับถือในนักการเมือง มันไม่มีการไว้วางใจในนักการเมือง เป็นนักการเมืองที่ไร้เกียรติ เป็นนักการเมืองที่ต้องเอาอำนาจเข้ามาพยุงฐานะของตัว(เอง)อย่างนี้ จะเป็นการเมืองในประเทศหรือการเมืองนอกประเทศ หรือการเมืองทั้งโลกมันก็เป็นอย่างนี้ไปเสียหมด เพราะการศึกษาไม่ได้ทำให้เขารู้จักพระเจ้า การศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ไม่ได้ทำให้คนหนุ่มเหล่านี้รู้จักแม้แต่ความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกต้อง มันจะดึกเกิน เกินด่าไปแล้ว ไม่รู้จักความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกต้อง เขาก็ยังคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาเป็นปัญญาชน เป็นสุภาพบุรุษเป็นอะไรอยู่ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ต้องการ ถ้าการศึกษามันถูกต้องก็ไม่เกิดคนชนิดนี้ขึ้นมา และไอ้การเมืองมันก็เป็นไปอย่างตรงตามจุดหมายที่ว่าระบบที่จัดไว้เพื่อ(ให้)คนจำนวนมากอยู่กันโดยผาสุก
ที่ข้อที่ ๗ ที่ว่าสังคมมันเฟะนี้ก็หมายถึงสังคมหน่วย หน่วยย่อยๆ ทั่วๆ ไปมีความนิยมเหมือนๆ กัน เป็นสังคม สังคมกำลังเฟะ ที่ว่าเฟะนี่ก็เป็นทาสของกิเลส เพราะการศึกษาไม่มีสอนเรื่องให้เอาชนะกิเลส มีสอนแต่เห็นแก่ตัวให้ได้ตามที่ตัวต้องการ จะเป็นกิเลสหรือไม่กิเลสไม่รู้ เอาแต่ได้ตามที่ต้องการตามพอใจของตัว มีคำโบราณมากอยู่คำหนึ่งเรียกว่ามัวเมาในเพศรสและเมรัย เพศรสนั้นก็หมายถึงรสที่เกิดจากเพศตรงกันข้าม แล้วแต่ว่าจะเป็นฝ่ายบุรุษหรือจะเป็นฝ่ายสตรี ถ้ามัวเมาในเพศรสที่เกิดจากเพศตรงกันข้าม แล้วก็เมรัยก็คือสิ่งมึนเมาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสุรายาเมาอะไรก็ตาม นี่เขาจัดไว้เป็นเครื่องหมายเป็นลักษณะของความบูด ความเน่า ความเสียของจิตใจของมนุษย์ ยังมีอะไรอีกมากที่มีลักษณะที่เรียกว่าเฟะ จนกระทั่งถึงสิ่งที่เรารู้จักกันดีว่าคอรัปชั่น ไอ้คอรัปชั่นนี้ก็คือความเน่าบูดของจิตใจ เหมือนกับจุดดำในพื้นขาวได้เกิดขึ้นเมื่อคอรัปชั่น ก็เป็นความเฟะของจิตใจด้วยเหมือนกัน แต่นั่นมันขึ้นอยู่กับเพศรสและเมรัยที่คนทำคอรัปชั่นนั่นแหละ คนนั้นต้องเป็นทาสของเพศรสและเมรัย มันจึงไปทำคอรัปชั่น และต้นเหตุแท้จริงมันอยู่ที่ความหลงใหลมึนเมาในเพศรสและเมรัยนั่นต่างหาก คอรัปชั่นนี่มันเป็นผลทีหลัง ผลที่เกิดมาจากสิ่งนั้นอีกทีหนึ่ง เมื่อเขาไม่สามารถจะหาทรัพย์สมบัติมาให้ทันแก่ความต้องการโดยสุจริต ใครๆ ก็ต้องทำคอรัปชั่น ทีนี้สังคมที่บูชาสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นสังคมที่เน่าเฟะ พูดกันโดยไม่ต้องเกรงใจ เพราะว่าจะพูดความจริงสำหรับ(ให้)เข้าใจเพื่อแก้ไขไอ้สถานะของมนุษย์ ทีนี้สังคมเฟะ ก็เนื่องมาจากการศึกษาไม่เพียงพอ การศึกษาไม่สมบูรณ์พอที่จะทำให้เขาบังคับตัวเองได้ เขาบังคับตัวเองไม่ได้เขาก็ปล่อยไปตามอารมณ์ มันก็เป็นเรื่องของความเฟะ ก็อยู่ที่การศึกษาไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าใครไม่ ไม่ยอมเชื่อก็ไปคิดดูเอาเองว่ามันเป็นเพราะอะไรที่(ทำให้)สังคมมันเฟะ ถ้าต้นเหตุที่จริงอาจจะไม่ใช่การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ แล้วก็จะแค่นั้น(45.27)
ข้อที่ ๘ เราใช้คำว่าเศรษฐกิจมันฟ่าม คำว่าฟ่าม นี่มันคือ ไร้ ไร้สาระที่แท้จริง ไร้รส ไร้ชาด ไร้รสชาติที่แท้จริงอะไร มันฟ่าม มันไม่บำรุงเนื้อหนังอะไรให้จริงจังได้ เพราะมันทำไปเพียงแต่ว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของคนโง่เขลาไม่รู้ลึกซึ้งถึงว่ามัน ลึกซึ้งถึงไหน อะไรจะเป็นของจริงแท้ ถ้าเป็นเรื่องทำมาหากินธรรมดามันก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดเป็นเรื่องเศรษฐกิจของสังคมเศรษฐกิจของประเทศชาติแล้วมันเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก ทำผิดได้โดยไม่รู้ตัว เดี๋ยวนี้เราทำลายเศรษฐกิจอยู่ เราก็พูดว่าเรากำลังเจริญด้วยเศรษฐกิจอย่างนี้ก็มี เราใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น เราเป็นอยู่ด้วยลักษณะในสิ่งที่ไม่จำเป็น นั่นแหละคือการทำลายเศรษฐกิจ เราก็ต้องหาให้มันมากมันจึงจะพอใช้ส่วนบุคคล ทีนี้ส่วนของประเทศก็เหมือนกันประเทศไทยเรานี้เขาว่ามีความเจริญทางเศรษฐกิจ เห็นความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจนั้นยิ่งกว่านั้นไปเสียอีก มีสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเหลือเกิน เมื่อมาดูกันทั้งโลกแล้วก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ ในโลกนี้มีสิ่งที่ไม่จำเป็น นั้นเอากัน เอามาจัด เอามาทำ เอามาบริหารกันอยู่ ก็เลยต้องช่วงชิง ต้องเอาเปรียบอะไรกัน มันจึงจะทำไปได้ ทีนี้ใครมีปัญญามันเอาเปรียบทางเศรษฐกิจได้มันก็ใหญ่โตไป ร่ำรวยไป มีอำนาจมีกำลังไป ทีนี้ใครพ่ายแพ้ก็ถูกบีบคั้น ในส่วนบุคคลก็เป็นอย่างนี้ ในส่วนสังคมก็เป็นอย่างนี้ ในส่วนประเทศ หรือว่าในส่วนโลก ครึ่งโลกมันก็เป็นอย่างนี้ ที่เขาว่าเศรษฐกิจนั้นมันก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อจะช่วยให้ประเทศรอดหรือมั่นคง มันเป็นเรื่องดวลกันไปดวลกันมา เอาเปรียบกันไปเอาเปรียบกันมา มีแต่อย่างนี้ เศรษฐกิจก็เลยเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับกวนโลกนี้ให้มันวุ่นวาย ให้มันข้นให้มันยุ่งเหยิงให้มันระส่ำระสายไม่มีที่สิ้นสุด จะจริงไม่จริงก็ขอให้จำไว้ก่อน ค่อยสังเกตดูว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งกวนโลกให้ระส่ำระสายที่สุดไม่มีอะไรเปรียบได้
ทีนี้ข้อที่ ๙ ที่ว่าศาสนาฟั่น นี่ก็มันฟั่นกันกับสิ่งอื่น คำว่าฟั่นนี้มันก็หมายถึงว่าหลายองค์ประกอบมันฟั่น ฟั่นจนเฝือจนไม่เป็นตัวเอง คือเมื่อการเมืองมีอำนาจมันบังคับเอาศาสนาไปเป็นเครื่องมือการเมือง หรือเมื่อนักศาสนามันพ่ายแพ้แก่กิเลส มันเอาศาสนาไปปลอม ไปปน ไปเทียมอะไรเข้ากับเรื่องอย่างอื่น ก็เรียกว่ามันฟั่นเฝือ ทีนี้คนมันไม่ฉลาด มันก็ยิ่งเป็นไปได้มาก ไปถือไสยศาสตร์เป็นศาสนา ส่วนที่เป็นศาสนาจริงๆ กลับไม่สนใจ นี่คือความฟั่นเฝือ ศาสนาที่แท้จริงมันเป็นไปเพื่อความรอดทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางวิญญาณ เป็นความรอดคือไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหา นั่นแหละคือตัวศาสนาเป็นทางแห่งความรอด คนเดินไปตามทางนั้นแล้วก็รอด อย่าเข้าใจว่าโบสถ์วิหารการเปรียญศาลาอย่างนี้ หรือว่าอะไรที่เขาเรียกกันว่าวัตถุปูชนียสถานอะไรต่างๆนั้น มันเป็นเครื่องหมายของศาสนา (สิ่งเหล่านี้)ไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา วัดวาอารามนี้ก็เป็นเพียงเครื่องหมายของศาสนา เป็นสำนักงานของเจ้าหน้าที่ทางศาสนา ไอ้ตัวศาสนาแท้นั้นมันเป็นนามธรรม คือเป็นหลักแห่งสัจจะที่บุคคลประพฤติปฏิบัติตามแล้วมันรอดได้ รอดได้จากอันตรายทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ ขอให้เข้าใจคำว่าศาสนาไว้ในลักษณะอย่างนี้ด้วย ให้ถือว่าชีวิตทุกชีวิตมันมีระบบแห่งการรอดชีวิตของมัน มันก็เป็นศาสนาของมัน ทีนี้ชีวิตนี้มันมี ๒ ความหมาย ถ้าสำหรับมนุษย์แล้วชีวิตทางเนื้อหนังร่างกายก็ชีวิตหนึ่ง ตายไปเอาเข้าใส่โลง แต่ชีวิตอีกชนิดหนึ่งมันเป็นชีวิตไอ้ทางจิตทางวิญญาณที่ร่างกายไม่ทันตายมันก็ตายแล้ว คนที่ไม่มีความดีมีแต่ความชั่วนี่ก็เรียกว่ามันตายแล้ว ไม่มีชีวิตแล้ว ไม่มีชีวิตอย่างธรรมะ ไม่มีชีวิตชนิดที่เป็น เป็นตัวชีวิตจริง มันมีแต่เปลือกชีวิต ร่างกายนี้เป็นชีวิตชั้นเปลือก เพียงรอดอยู่ได้ ชีวิตแท้จริงคือคุณสมบัติความดีความงามของไอ้ความเป็นมนุษย์ เพราะมันจะมีได้แต่พวกมนุษย์ พวกสัตว์เดรัจฉานไม่จำเป็นจะต้องมีชีวิตชนิดนี้ คำว่าศาสนากินความไปทั้ง ๒ ทาง ความรอดทางร่างกายก็ได้ ความรอดชีวิตทางร่างกายก็ได้ และความรอดชีวิตทางคุณธรรมก็ได้ ถ้ามันรอดได้จริงก็คือเรียกว่าศาสนา ทีนี้คนเราเดี๋ยวนี้ไม่มีการศึกษาที่สมบูรณ์ในทางศาสนาอย่างไร แม้เรียนมากก็เรียนอย่างเฟ้อไม่ถูกตัวศาสนา แต่ถูกเปลือกถูกอะไรของศาสนาเสียหมด บางทีก็เรียนรู้เรื่องราวแต่ไม่ได้นำมาสู่การปฏิบัติ อย่างนี้ก็ไม่มีตัวศาสนา มีแต่เปลือกศาสนาอยู่นั่นเอง มันต้องมีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามนั้นอีกที แล้วผลมัน(จึง)เกิดขึ้นเป็นความรอดทางจิตใจ นี่เรียกว่าคนมีศาสนาต้องเป็นอย่างนี้ (แต่)นี้เดี๋ยวนี้(52.52) ความคิดของคนมันเปลี่ยนไป ไม่ต้องการความรอดชนิดนี้ ต้องการความรอดทางเนื้อหนังทางร่างกาย แล้วก็ต้องการเกินจำเป็น คือเอาไปเป็นเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ไปโน่น กฎเกณฑ์เรื่องความรอดของมนุษย์มันก็เปลี่ยนหมดจนฟั่นเฝือ เอาความตายมาเป็นความรอด เอาหนทางแห่งความตายมาเป็นหน(ทาง)แห่งทางความรอด นี่เรียกว่าศาสนามันฟั่นเฝือ เพราะการศึกษาทางศาสนามันไม่พอ และการศึกษาพื้นฐานทั่วไปมันก็เรียกว่าไม่สมบูรณ์นั่นเอง ถ้ามนุษย์มีการศึกษาสมบูรณ์แล้วการศึกษาทางศาสนาจะผิดไปไม่ได้ มันเรื่องเดียวกัน ก็อย่างที่พูดมาแล้วว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นตัวการศึกษาที่สมบูรณ์
ทีนี้ข้อที่ ๑๐ ว่าวัฒนธรรมมันเฟี้ยว คำว่าเฟี้ยวนี้คือว่ามันไม่ ไม่หนักแน่น มันเหมือนกับปลิวว่อนไปตามลม เพียงแต่ลมพัดมานิดหน่อยมันก็หวั่นไหวเปลี่ยนแปลงไปหมด วัฒนธรรมในสายเลือดของบรรพบุรุษแต่โบรมโบราณ(54.17)มันปลิวไปหมดเพราะมันต้านทานไอ้ลมพายุของอารยธรรมเนื้อหนังแห่งสมัยปัจจุบันไม่ไหว ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้เราต้องไปดูกันถึงว่าเมื่อสมัยบรรพบุรุษของเราเขาอยู่กันอย่างไร เอาเพียงสัก ๕๐ ปีนี้ก็ยังจะพอเห็นหรือให้ดีกว่านั้นก็สัก ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี บรรพบุรุษปู่ย่าตายายเราอยู่ด้วยวัฒนธรรมไทยแท้ มีพุทธศาสนาเป็นรากฐาน อยู่กันด้วยความสุขความสงบความพอใจโดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้รู้หนังสือเลย คนสมัยปู่ย่าตายายนี้หายากที่จะรู้หนังสือ แต่กลับมีคุณธรรมสมบูรณ์ มีอะไรๆ ที่น่านับถือ เช่น มีความเมตตากรุณาแก่กันและกัน เปรียบเทียบกันไม่ได้กับคนสมัยนี้ มีความบังคับตัวเองอดกลั้นอดทน ไม่บันดาลโทสะเหมือนกับคนสมัยนี้ เพียงเท่านี้มันก็ไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้นได้แล้ว วัฒนธรรมให้อภัยนั่นนะเป็นไปถึงที่สุด เดี๋ยวนี้มีวัฒนธรรมไม่ยอมให้อภัย เป็นยักษ์เป็นมารเข้าใส่กัน กลางถนนที่กรุงเทพ มีมากที่สุด วัฒนธรรมหน้ายักษ์หน้ามารเข้าใส่กันที่ในป่านี้หายาก ทีนี้วัฒนธรรมมันเฟี้ยวหาที่ตั้งไม่ได้ ไปตามทิศทางของกิเลส และยิ่งสมัยนี้ความยั่วยวนกิเลสมันมีมากขึ้นตามความก้าวหน้าทางวัตถุ วัฒนธรรมเดิมๆ จึงทนอยู่ไม่ได้ ค่อยสลายไปๆ ชั้นลูกชั้นหลานชั้นเหลนมันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เป็น เป็นวัฒนธรรมเนื้อหนังไปหมด วัฒนธรรมที่เป็นธรรมะแท้ทางจิตทางวิญญาณเกือบจะหาไม่พบ นี่อย่าหาว่าด่านะ เป็นการบอกให้พิจารณาให้เห็นข้อเท็จจริงที่มันมีอยู่จริงๆ มัน มัน มัน มัน เสีย คือมันมันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ที่จะให้คนอายุเพียง ๓๐ ปีมองเห็นสภาพคน ๘๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปีมาแล้ว ดังนั้นเชื่ออาตมาบ้างก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้อายุ ๗๐ ปี ก็เคยเห็นสิ่งต่างๆ เมื่อ ๕๐-๖๐ ปีดีออกมาแล้วมาเล่าให้ฟัง ให้คนอายุ ๒๐ ปี ๓๐ ปีฟัง ไม่เอามาหลอกหรอก ที่ว่านี้เป็นความจริง เราอยู่กันกับพระเจ้า อยู่กันกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ซึ่งเป็นองค์แห่งการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ อย่างที่เราพูดกันมาแล้ววันก่อน ท่านไม่ต้องรู้หนังสือ ท่านไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องมีรถยนต์ขี่ ไม่ต้องมีเรือบินขี่ ไม่ต้องแต่งตัวสวยๆ อย่างคนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องทำอะไรมากมายหรอก แล้วก็อยู่กันอย่างผาสุกที่สุด จนกระทั่งเรียกว่าไม่ต้องปิดประตูเรือน และว่าเรือนไม่ต้องใส่กุญแจ ไปไหนก็ได้
ทีนี้ข้อที่ว่า ข้อ ๑๑ ข้อประเทศชาตินี่มันฟอน มันถูกฟอน คือมีตัวหนอนเกิดขึ้นหลายชนิด เป็นนักการค้า นักเศรษฐกิจ นักการเมือง นักบ้าประชาธิปไตย นักอะไรก็สุดแท้แต่ มันเป็นตัวหนอนชนิดหนึ่งชนิดหนึ่ง มันฟอนประเทศชาติให้พรุนไปหมดเลย เพราะว่าการศึกษาไม่สมบูรณ์แบบ ระบบการศึกษาไม่สมบูรณ์แบบทั้งนั้นเลย ถ้าการศึกษาสมบูรณ์แบบแล้วมันเป็นอย่างนี้ไปได้(58.55) ช่วยไปนึกถึงการศึกษาที่สมบูรณ์แบบกันให้มาก ประเทศชาติเป็นผู้จัดการศึกษา แต่แล้วจัดการศึกษาขึ้นมาในรูปที่ไม่ช่วยประเทศชาติ กลายเป็นมาช่วยกันฟอนประเทศชาติ เพราะว่าประเทศชาติมันก็คือคนที่หลายๆ คนประกอบกันขึ้นมาด้วยทรัพยากรต่างๆ ทีนี้ถ้าคนเหล่านั้นมีการศึกษาไม่ถูกต้องตามความต้องการของพระเป็นเจ้า มีแต่ความถูกต้องตามความต้องการของกิเลสนี้ มันก็จัดการศึกษาไปในแบบที่ได้เปรียบฝ่ายกิเลส แต่ก็เสียเปรียบฝ่ายพระเป็นเจ้า ตัวเองก็ได้สนุกสนานไปตามความต้องการ แต่แล้วก็ถูกพระเจ้าลงโทษให้เป็นผู้หาความสุขไม่ได้ คนทุจริตจะต้องเป็นอย่างนี้ คนทำผิดแม้โดยไม่เจตนาก็ยังต้องเป็นอย่างนี้ นับประสาอะไรกับคนที่มันเจตนาที่จะทำทุจริตก็ต้องได้รับโทษตรงตามธรรมชาติที่กำหนดไว้ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อมไม่เดี๋ยวนี้ก็วันหน้าจะต้องมีความเดือดร้อนกันหมดทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งประเทศแล้วก็กระทั่งทั้งโลก หรือแต่ละประเทศๆ ก็เหมือนๆ กันหมด แต่ละประเทศมันก็ถูกฟอนด้วยตัวแทนของกิเลสหลายทิศทางจนพรุนไปหมดแล้ว มากมายหลายชนิด แล้วก็ยังหลายระดับ ในหนึ่งชนิดยังมีหลายๆ ระดับ ระดับที่รุนแรงมากก็ทำลายประเทศชาติมาก อยากจะช่วยกันรักษาทรัพยากรของธรรมชาตินี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มีแต่ทำลายให้ร่อยหรอเข้าไปทุกที เพราะการศึกษามันไม่สมบูรณ์
ทีนี้ที่ว่ารัฐธรรมนูญฟางคือกลายเป็นกระดาษฟาง แต่อย่านึกอะไรมากนักนะกระดาษฟางนี้ เอาเพียงไม่ใช่กระดาษข่อยก็แล้วกัน คือมันไม่มีใครเคารพนับถือ มีค่าเป็นกระดาษฟางเอาไปใช้อะไรก็ไม่รู้ ถ้ามันเป็นกระดาษข่อย มันก็มีคนนับถือ ทุกคนจะบูชาคือเชื่อฟังตั้งตัวอยู่ในระบบที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมอย่างถูกต้อง ไม่มีใครฉีกรัฐธรรมนูญกันบ่อยๆ การศึกษาไม่พอที่จะรู้จักประชาธิปไตย มันจึงไม่มีคนที่เหมาะสมที่จะรื้อระบบประชาธิปไตย ก็มีรัฐธรรมนูญเห่อๆ ตามๆ กันไป เดี๋ยวก็เปลี่ยนเดี๋ยวก็เปลี่ยนเดี๋ยวก็เปลี่ยนอย่างนี้ทั้งโลก เป็นไปทั้งโลก เพราะว่ารัฐธรรมนูญมันก็ช่วยกันสร้างขึ้นมาโดยคนที่มีกิเลส คนที่ไม่มีกิเลสไม่มีโอกาสที่จะมาช่วยร่างหรือสร้างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นรัฐธรรมนูญที่มันสร้างโดยคนมีกิเลสมันก็เพื่อคนมีกิเลส มันก็ไปตามบทบาทของคนมีกิเลส เพราะว่าการศึกษามันไม่พอ ถ้าการศึกษาพอมันก็ไม่สร้างรัฐธรรมนูญกันในรูปนี้ การศึกษา(ที่)เพียงพอมันสร้างมนุษย์ สร้างประชาชน สร้างพลเมืองที่ดี มันก็ออกความคิดมาดี วางระเบียบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาดี เพราะสามารถที่จะรักษาเอาไว้ได้ นี่แหละของศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์ สมดังที่เราบัญญัติกันไว้ว่ารัฐธรรมนูญเป็นของศักดิ์สิทธิ์ (เป็น) ความรอดของประเทศชาติ แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นกระดาษฟาง เพราะมันมาจากการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์
ทีนี้ข้อสุดท้ายความเป็นไทยเฟื้อย ความเป็นไทนี้ไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงประเทศเราที่ชื่อว่าประเทศไทย ทุกๆ ประเทศมันต้องการความเป็นไททั้งนั้นแหละในโลก ยิ่งเรามีชื่อว่าประเทศไทยก็ยิ่งต้องการความเป็นไท เดี๋ยวนี้ความเป็นไทของแต่ละประเทศนั้นน่ะมันเฟื้อย มันเฟื้อยไปหาความเป็นเทศ อย่างคนไทยนี้มันไหลมันออกยอดงอกงามเฟื้อยไปหาความเป็นเทศ มันไม่รักความเป็นไทยในสายเลือดบรรพบุรุษตั้ง ๑๐๐๐-๒๐๐๐ปีมาแล้ว นี้แหละความเป็นไทยมันเฟื้อยออกยอดไหลไปหาความเป็นเทศ เป็นขี้ข้าทางวัฒนธรรม แม้ว่าจะมานั่งอยู่ที่นี้สักคนหนึ่งก็กล้าพูด การเอาผมยาวๆ มาใส่ไว้บนหัว มันหมดความเป็นไทย ที่เขาเรียกว่าฮิปปี้ฮิปป้าอะไรนั่น มันมีผมยาวจนไม่รู้ว่าผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย นี่ยกตัวอย่างอย่างนี้ นั่นเราเป็นทาสเขาเสียแล้ว เมื่อสัก ๕-๖ ปีมาที่นี้ แรกๆ มีฮิปปี้เป็นชั้นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย มีผมยาวจนเราดูไม่ออกว่าผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ก็เลยถามว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนี้ เขาบอกว่าเขาต้องการความเป็นอิสระ ถ้าเขาอยากเป็นอิสระก็อย่าให้คนอื่นลำบากเลย เดี๋ยวนี้มันทำให้เราเสียเวลาดูคุณตั้งหลายนาทีหลายชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ว่าคุณนี้เป็นคนบ้าหรือคนดี อยากจะวิ่งหนีก็อยากจะวิ่งหนี ถ้าจะว่าเป็นคนบ้า แล้วถ้าให้ความคิดมันกระวนกระวายกันไปหมดนี่ว่าเราพูดกับคนดีหรือคนบ้า ถ้าจะทำอย่างนี้จะได้ไหม คือว่ามันทำอย่างไหนก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน (65.39)ถ้าเราทำอะไรแปลกออกไปก็ทำให้คนอื่นเสียเวลาที่จะ จะนั่งเฝ้าดูว่านี่มันดีหรือบ้า แม้เพียงจะดูว่า(คน)นี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนี้มันก็เสียเวลา เพราะเราจะต้องต้อนรับเขาให้พอเหมาะว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือว่าเป็นผู้ชาย อย่างนี้เรียกว่าเป็นทาสในทางวัฒนธรรม ถ้าวัฒนธรรมนั้นมันไม่ทำให้ยุ่งยากลำบากอย่างนี้ มันก็ควรจะรับล่ะ วัฒนธรรมที่มันไม่ทำความยุ่งยากแต่มันเป็นผลดีก็ควรจะรับ เพราะวัฒนธรรมมันมีหลายแขนงมากแขนงเหลือเกิน เช่น วัฒนธรรมในทางด้านศาสนาหรือในรูปแบบของศาสนา ถ้าดีกว่าเราก็รับ ประเทศไทยนี้เป็นขี้ข้าทางวัฒนธรรมของประเทศอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของศาสนา เรารับเอารูปแบบของพุทธศาสนามาถือปฏิบัตินี่ก็(ต้อง)ยอม(รับ)ว่าเราเป็นทาสทางวัฒนธรรมของอินเดีย ทีนี้ศิลปะอื่นๆ ก็เหมือนกันมันมาจากอินเดียมากกว่า การแต่งเนื้อแต่งตัว อาหารการกิน กระทั่งกวีนิพนธ์บทกลอนต่างๆ นี้มันถ่ายทอดวัฒนธรรมอินเดียมาทั้งนั้น อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นทาสทางวัฒนธรรม ยอมรับกันดีกว่า แต่มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ มันมันมันช่วยเราได้ สิ่งที่เรามีอยู่ก่อนนั้นมันไม่ดีเท่า ดังนั้นเราก็ยอมรับเอามาเพื่อให้มันดีขึ้นมันสูงขึ้น ถ้าสิ่งใดมันไม่เป็นอย่างนั้น มันกลับ(ทำ)ให้เสียเวลาให้โทษก็อย่ารับเอามาเลย ยิ่งเราต้องการความเป็นไท แล้วก็ขอให้เป็นไทยมากๆ อย่า อย่าเผลออย่าหละหลวมไปรับเอาอะไรเข้ามาใส่เข้าที่ตัวแล้วก็เสียความเป็นไทยไปทันที อย่างเดี๋ยวนี้ชอบเต้นรำแบบฝรั่งชอบร้องเพลงแบบฝรั่งหรือว่าอะไรอย่างฝรั่ง อย่างนี้ไม่จำเป็น มัน มันสู้ของไทยไม่ได้ อย่าไปรับมาทำให้มันเลวลงเลย ไอ้เพลงหรือดนตรี ดนตรีของของของไทยนั้นแบบหนึ่งของฝรั่งนั้นแบบหนึ่ง เราเคยช่วยออกความเห็น ช่วยพูดไปด้วยว่า ไอ้ดนตรีไทยนี้มันเหมือนช้าง ช้างมันเนิบนาบ เนิบนาบอ่อนโยน ไอ้ดนตรีฝรั่งมันเหมือนกับลิงเมาเหล้า เดี๋ยวมีคนไปเขียนในกลุ่มนักดนตรี ผลมันก็ผิดกัน เพราะดนตรีไทยทำให้เย็น หยุด ไอ้ดนตรีฝรั่งมันก็กระตุ้นให้ลุกขึ้น แม้ในทางจิตทางวิญญาณก็ลุกขึ้นเร่าร้อน ดังนั้นความเป็นไทยของเราก็หายไป ถ้าเราไปเอาไอ้สิ่งที่มันไม่มีประโยชน์เป็นอันตรายมา แล้วก็เลิกไอ้ของเดิมของของของความเป็นไทยทิ้งไปเสีย ดังนั้นขอให้นึกถึงการแต่งเนื้อแต่งตัว การพูดจา กิริยาท่าทางนี้ขอให้มีความเป็นไทย ให้มีความเปรียบเหมือนกับลีลาของช้าง อย่าให้เหมือนกับลีลาของลิงเมาเหล้า ไปยกแข้งยกขาอยู่หน้าจอโทรทัศน์นั้นมันไม่ไหว อย่าให้สูญเสียไอ้วัฒนธรรมไทยหรือความเป็นไทที่มันเป็นอิสระแก่กิเลสอย่างดีอยู่แล้ว อย่าไปรับเอาวัฒนธรรมที่เป็นทาสของกิเลสมา ความเป็นไทยมันก็จะเสียไป นี่เรียกว่าความเป็นไทยมันกำลังเฟื้อย หาความเป็นทาสโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะว่าการศึกษาไม่สมบูรณ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไม่ต้องโกรธ ไม่มีสิทธิที่จะไปโกรธ อาตมาว่าอย่างนี้ เพราะว่าตัวเองไม่รับผิดชอบสักที เราพูดถึงการศึกษาที่แล้วมาหรือว่า(ที่)กำลังเป็นอยู่(ว่า)มันไม่ถูกต้อง มันไม่สมบูรณ์ มันจึงไม่สร้างเยาวชนชนิดที่เป็นผู้มีสติปัญญาสมบูรณ์แบบ คือสามารถที่จะขจัดไอ้สิ่งไม่พึงปรารถนาออกได้เสีย เอาไว้แต่สิ่งที่พึงปรารถนา ดังนั้นต่อไปข้างหน้าทีนี้จะได้ดูกัน ครูบาอาจารย์เหล่านี้จะไปสร้างการศึกษาที่สมบูรณ์แบบหรือไม่สมบูรณ์แบบ มันก็ไปดูผลได้จากลูกเด็กๆ ที่มันจะโตขึ้นมาโตขึ้นมา รับการศึกษามาอย่างนั้นแล้วจะมาประพฤติปฏิบัติต่อตนเองต่อประเทศชาติอย่างไร อีก ๒๐ ปี ๓๐ ปีข้างหน้าก็จะได้เห็น ก็เมื่อผลิตผลของครูบาอาจารย์รุ่นปัจจุบันนี้ ที่จะผลิตเยาวชนรุ่นนั้นขึ้นมา ๑๐ ปี ๒๐ปี ๓๐ ปีเป็นอย่างมากข้างหน้า ประชาชนไทยของเราจะเปลี่ยนหรือเปล่า จะเปลี่ยนหรือไม่ ความวุ่นวายวิกฤตการณ์ทั้งหลายจะหายไปหรือไม่ ความสุขสงบเย็นจะเข้ามาแทนหรือไม่ ถ้ามันเปลี่ยนในรูปสงบเย็น มันก็คือเป็นไทแก่ความทุกข์ เป็นไทแก่กิเลส เป็นไทแก่พญามาร เป็นไทแก่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ก็นับว่าเป็นความถูกต้อง ใน ๑๓ อย่างนี้ก็พอแล้ว มันก็จะเกินไปแล้วที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ๑๓ อย่าง ศีลธรรมแฟบ การศึกษาเฟ็ด ประชาธิปไตยเฟ้อ ยุวชนฟุ้ง การปกครองเฟือน การเมืองฟุบ สังคมเฟะ เศรษฐกิจฟ่าม ศาสนาฟั่น วัฒนธรรมเฟี้ยว ประเทศชาติฟอน รัฐธรรมนูญฟาง ความเป็นไทยเฟื้อย มากไปแล้ว ตัวอย่างที่ยกมานี้มันมากไปแล้ว เอาแต่ใจความสำคัญก็แล้วกันว่า การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบได้ทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ยังมีอีกมาก พูดกันอีก ๒๐ อย่างก็น่าจะได้ แต่มันพอแล้วสำหรับจะเข้าใจว่า การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบได้ทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ถ้ามันมีความสมบูรณ์แบบแห่งการศึกษาเมื่อไหร่ ปัญหาเหล่านี้จะหายไปทันทีและไม่อาจจะเกิดขึ้นมาใหม่ จริงไม่จริงช่วยเอาไปคิดว่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งที่ว่าได้มาพบกันที่นี่ มาที่สวนโมกข์มันไม่มีเรื่องอะไรดีกว่าเรื่องอย่างนี้ ดังนั้นช่วยเอากลับไปคิดพิจารณาอยู่ในใจอยู่เสมอ ถ้าการศึกษาสมบูรณ์แบบปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป เพราะว่าปัญหานี้ไม่ใช่คำถามในกระดาษ มันไม่ใช่ปัญหาอย่างนั้น มันเป็นปัญหาคือไอ้ความยุ่งยากหรืออันตรายที่เราจะทนอยู่ไม่ได้ นี่เรียกว่าปัญหาละ ที่นี้ใครจะช่วยให้ไอ้ปัญหาเหล่านี้หมดไป ก็คือการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ใครจะนำมาซึ่งการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ มันก็องค์ประกอบทั้ง ๓ อย่างที่ว่ามาแล้ว ชั้นสูงสุดก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ สิ่งที่ท่านสอนคือพระธรรม พระสงฆ์รับปฏิบัติได้ผลแล้วก็สอนต่อๆ กันไป องค์ ๓ นี้จะช่วยขจัดปัญหาทั้งหมดในโลก ทีนี้วงแคบเข้ามาก็คือครูบาอาจารย์ที่ให้การศึกษาที่ถูกต้องกับศิษย์ ศิษย์ที่ดีรับไปแล้วปฏิบัติแล้วก็สอนต่อๆ กันไป นี่ตอนนี้จะแก้ปัญหาได้ ทีนี้ว่าจะให้มันเหลือเพียงอย่างเดียวก็ต้องพูดว่า ครูนั่นแหละที่สมบูรณ์แบบนั่นแหละ ครูที่สมบูรณ์แบบจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในอนาคต ไม่มี ไม่มีเรื่องอื่นไม่มีทางอื่น ขอย้ำหรือยืนยันหรือท้าทายอยู่เสมอว่า ครูบาอาจารย์มันเป็นคนสร้างโลก เป็นพระเจ้าที่สร้างโลก สร้างให้เลวก็ได้ สร้างให้ดีก็ได้ สร้างให้พอดีพอร้ายก็ได้ มันอยู่ที่ว่าไอ้ครูนั้นจะเป็นอย่างไร ทีนี้เราก็หวังว่าครูที่สมบูรณ์แบบนี้จะช่วยสร้างโลกที่เป็นจริง น่าอยู่น่าพอใจ วันนี้ได้พูดกันถึงปัญหาที่เกิดมาจากการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบ จะแก้ได้ก็ด้วย ด้วยครูบาอาจารย์ที่สมบูรณ์แบบ ก็นับว่าพอสมควรแก่เวลาสำหรับการพูดจา ขอยุติการบรรยายไว้ ต่อไปก็เป็นโอกาสของการถามปัญหา ถ้าจะมี ถ้าจะมีใครถามปัญหา