แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นั่งประชุมกันกลางดินนั่นแหละคือแบบพุทธกาล ที่เรียกว่าวิหาร วิหารเป็นโรงหลังใหญ่ๆพื้นดิน ก็มีตั่ง มีเตียงมีตั่งสำหรับนั่งสำหรับนอนเฉพาะคนๆ ถ้าประชุมใหญ่ต้องประชุมกลางสนาม แม้แต่ทำสังฆกรรม จึงมีอนุญาตไว้เสร็จว่าถ้ามันเกิดพายุฝนมาอะไรมาให้เลิกสังฆกรรมได้โดยไม่ถือว่าเป็นผิดหรือการทำผิด ฉะนั้นจึงไม่มีปัญหายุ่งยากมากเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ เดี๋ยวนี้เรามันต้องการจะให้ดี ให้สะดวก ให้วิเศษอะไรเลยยุ่งมากเรื่องสถานที่ โดยเฉพาะโรงอุโบสถสร้างเสียเหมือนวิมาน ครั้งที่แล้วมาเราก็พูดกันเรื่องเป็นอยู่อย่างต่ำ แล้วก็บังคับตัวเอง ในฐานะเป็นหลัก เป็นหลักพื้นฐานของภิกษุหรือพุทธบริษัทในพุทธศาสนาให้มีการเป็นอยู่อย่างต่ำๆ ไม่มีปัญหามาก เอาพอสะดวกสบายแต่มุ่งหมายการกระทำอย่างสูง ไม่มีความลำบากยุ่งยากอะไร เป็นอยู่อย่างต่ำมันมีรายจ่ายน้อย ควบคุมรักษาง่ายอะไรง่ายสะดวกสบาย และทำให้มันสูงก็เลยมีกำไรมาก แล้วการบังคับตนโดยสติทุกอิริยาบถนั่นก็เป็นหลักพื้นฐานอย่างยิ่ง จะมีแต่ความถูกต้อง มีการบังคับตนคือดูแลตน บังคับตน ไอ้บังคับตนนั่นมันดีกว่าให้ผู้อื่นบังคับ ให้ผู้อื่นบังคับนั่นมันสำหรับสัตว์หรือสำหรับคนโง่ สำหรับคนอันธพาล บังคับตนเองนั่นแหละมันคือของสัตบุรุษหรือผู้มีสติปัญญาเป็นปัญญาชน
ดังนั้นที่นี่ ที่วัดนี้เราจึงอยู่กันอย่างที่เรียกว่าบังคับตน อย่าต้องให้ครูบาอาจารย์อะไรมาคอยบังคับควบคุมนักเลยมันจะเป็นสัตว์เป็นอันธพาล สิ่งต่างๆมันก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไรๆ เรื่องปาติโมกข์เรื่องนี้ก็ศึกษาอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ก็ระวังรักษาไว้ด้วยตนอย่าให้ผู้อื่นต้องมาบังคับบัญชา เว้นไว้แต่มันดื้อด้านอันธพาลมันก็ยิ่งจะมีผู้อื่นมาบังคับบัญชาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้นขอให้ถือเป็นหลักว่าบังคับตนนั่นดีกว่าให้ผู้อื่นบังคับ ๒ ข้อที่พูดไปแล้วคราวก่อน ทีนี้วันนี้ก็จะพูดอีกสัก ๒ ข้อว่าไม่ต้องมีความทุกข์ในการทำหน้าที่ นี่ถ้าจะสรุปให้สั้นที่สุดก็จะพูดอย่างนี้ไม่ต้องมีความทุกข์ในการทำหน้าที่ กับว่าการทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือการทำประโยชน์ตนอย่างยิ่ง การทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือการทำประโยชน์ตนอย่างยิ่ง เราพูดกันเรื่องว่าไม่ต้องมีความทุกข์ในการทำหน้าที่กันเสียก่อน
โดยทั่วไปที่สังเกตดูเราจะเห็นว่าคนไม่ชอบทำหน้าที่ เห็นว่าเป็นทุกข์ พวกข้าราชการมันต้องเซ็นชื่อลงเวลามาและกลับเพราะมันพร้อมที่จะโกงเวลาอยู่เสมอคือมันไม่อยากจะทำหน้าที่ มัน มันเบื่อหรือมันลำบากยากใจมันไม่อยากจะทำหน้าที่ ต้องมีระเบียบให้เซ็นเวลา นี่ก็มันมีความเป็นมนุษย์น้อย น้อยอยู่มันจึงต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามันมีสติปัญญาถูกต้องเต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์มันจะพอใจในการทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่าคนทุกคนก็ว่าได้ ก็ว่าได้ที่มันไม่ๆ ไม่ชอบทำหน้าที่ เพราะเหนื่อย เพราะเกลียด เพราะเบื่อเพราะอะไรก็ตามไม่ชอบทำหน้าที่ ยิ่งมีธรรมะน้อยเท่าไรก็ยิ่งไม่ชอบทำหน้าที่มากเท่านั้น ชาวนาก็ไม่อยากจะทำนา เหน็ดเหนื่อยแต่ความจำเป็นบังคับ ชาวสวนก็ไม่อยากจะทำสวนไอ้ความจำเป็นบังคับเหน็ดเหนื่อยขวนขวาย นี่เพราะว่าไอ้ชาวนาชาวสวนสมัยนี้มันมีธรรมะน้อยลง
ชาวนาชาวสวนสมัยโบราณเขาพอใจสนุกสนานในการทำงานในการทำหน้าที่ เพราะมันไม่ได้เรียนมากเพื่อจะเอาเปรียบหรือเอาเปรียบการงานเอาเปรียบใคร มันไม่ได้เรียนมาก มันไม่ฉลาดมากมันก็เลยพอใจสนุกในการทำหน้าที่ บางคนเห็นเป็นบุญเป็นกุศลไปเสียอีก แล้วมันก็จริงนะ การทำหน้าที่นี่คือการทำบุญทำกุศล ถูกของเขาแล้ว เขาเป็นคนโง่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนอะไรกลับไปเห็นว่าไอ้การทำหน้าที่คือทำบุญทำกุศล ทำการงานในหน้าที่เหงื่อไหลไคลย้อยอย่างสนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่ก็เรียกว่าไม่มีความทุกข์ในการทำหน้าที่ แต่เดี๋ยวนี้จะไม่เป็นอย่างนั้น เบื่อไม่อยากจะทำ ทำด้วยความจำเป็นบังคับ น้อยคนที่จะทำด้วยความสนุกสนานและพอใจ ชาวนา ชาวสวน พ่อค้า
พ่อค้าก็เหมือนกันแหละแม้งานจะเบาหน่อยบางทีมันก็ขี้เกียจ มันก็ไม่ ไม่อยากจะทำงานเหมือนกันแหละ ข้าราชการก็เหมือนกัน กรรมกรทั้งหลายก็เหมือนกันแหละนั่นยิ่ง ยิ่งหนักใหญ่ ขอทานบางทีมันก็ขี้เกียจจะขอทาน พระเจ้าพระสงฆ์ก็ขี้เกียจจะทำหน้าที่ ทำหน้าที่อย่างเสียไม่ได้อย่างนี้นี่มันเป็นโรคไม่สนุก ไม่เป็นสุขในการทำหน้าที่ มันก็ต้องพูดว่ามีความทุกข์ในการทำหน้าที่ ทีนี้ถ้าว่าจะเป็นหน้าที่ที่กว้างขวางออกไป เช่นว่าจะทำงานใหญ่โตกว้างขวางมันก็เต็มไปด้วยอุปสรรค เต็มไปด้วยคู่แข่งขัน ศัตรูคู่อาฆาตคู่ทำลายล้าง ตลอดถึงแม้แต่ธรรมชาติมันก็ไม่ได้อำนวยตามความต้องการของผู้ที่จะทำหน้าที่เสมอไป มันก็เกิดมีความทุกข์ขึ้นมา นี่ขอให้ยอมรับสภาพข้อนี้ก่อนว่าคนนั่นมันทำหน้าที่อยู่ด้วยความเป็นทุกข์ ยิ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคนมากๆ ด้วยแล้วก็ยิ่งมีเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์มาก ก็ต้องถือว่าทำหน้าที่ด้วยความเป็นทุกข์ นี่ว่าเรื่องใหญ่ เรื่องอาชีพเรื่องใหญ่ เรื่องกิจการงานเป็นล่ำเป็นสันใหญ่โตก็ทำด้วยความเป็นทุกข์
ทีนี้มาดูให้มันแคบเข้ามาเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เป็นเรื่องบริหาร บริหารชีวิตนี่ นั่นบริหารการงานนั่นมันใหญ่โต มันยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์ ทีนี้บริหารชีวิตแต่ละคนๆนี่ก็ดูเป็นที่น่าเบื่อหน่ายเหมือนกัน อยากจะนอนมากกว่า บางทีแม้แต่เรื่องกินอาหารนี่ถ้าไม่หิวไม่อะไรขึ้นมาก็ไม่อยาก แม้แต่จะอาบน้ำนี่มันก็ขี้เกียจ แม้แต่จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็รู้สึกว่ารำคาญ มาอีกแล้วๆ ก็รำคาญมันก็ต้องไป ต้องไปทำ มันก็กระฟัดกระเฟียดไปทำไปอย่างไม่มีความร่าเริงแจ่มใส แม้ว่างานบริหารร่างกายสุขภาพอนามัยมันก็ยังไม่สนุกหรือยังอยู่ในลักษณะของความเป็นทุกข์คือน่าเบื่อ ทั้งหมดนี้มันจริงหรือไม่ก็ช่วยคิดดูหน่อย เพราะว่ามันมีอายุมาหลายวันแล้ว แล้วก็เผื่อไว้ต่อไปข้างหน้าในอนาคตด้วยว่าไอ้ความรู้สึกเบื่อในหน้าที่อย่างนี้มันจะยังมีอยู่อีกต่อไปหรือไม่ หรือมันยังจะอยู่จนตาย มันก็เป็นได้นะ
ผมคิดว่าทุกคนแหละอย่างน้อยก็เป็นบางครั้งบางคราวเบื่อไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากจะกินข้าว ไม่อยากจะอาบน้ำไม่อยากอะไรด้วยซ้ำไป มันไม่สนุกมันไม่รู้สึกเป็นสุข จึงสรุปความว่าตามปกติสามัญชนนั่นมันไม่ได้ทำงานด้วยความพอใจเพลิดเพลินเป็นสุข รู้สึกว่ามีความทุกข์แทรกซ้อนอยู่ด้วยเสมอไป จนถึงกับกล่าวว่าไอ้ชีวิตนี้มันเป็นทุกข์ ชีวิตนี้เป็นการแบกของหนัก มีภาระของชีวิตอยู่ในตัวชีวิตนั้นเรียกว่าแบกของหนัก ก็เห็นได้ว่านี่เป็นเรื่องของคนธรรมดา คนธรรมดาสามัญตามธรรมดา ปล่อยไปตามธรรมดา ถ้าได้รับคำสั่งสอนมามันก็เปลี่ยนบ้าง บางคน คนบางคนเขาก็รู้สึกว่าไม่ ไม่อะไรนัก พอจะ พอจะทำไปได้ หรือได้รับการอบรมสั่งสอนให้ขยันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เกิดนิสัยขยันอย่างนี้มันก็มีปัญหาลดน้อย เรื่องการงานมันมีความทุกข์น้อย แต่โดยมากมันก็จะหันมาหาไอ้ความเห็นแก่ตัว เห็นการงานเป็นของน่าเบื่อหน่าย แม้จะว่าเป็นการงานที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่หลวงงอกงามอย่างนั้นอย่างนี้มันก็เป็นไปพักๆหนึ่งแค่นั้น แล้วมันก็เบื่ออีก
ทีนี้เราก็มีปัญหาว่าทำอย่างไรนี่สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่การงานนั้นจะไม่มีความทุกข์แก่เรา ดีไหม คิดดูสิว่าจะดีสักกี่มากน้อยถ้าว่าการงานทั้งหลายที่เราจะต้องทำมันไม่มีความทุกข์แก่เราเลย ไม่มีไอ้เรื่องอิดหนาระอาใจอะไรเลย ขอบอกกล่าวไว้เป็นหลักทั่วไปว่าไอ้การงาน
การงานหรือหน้าที่นั่นมันแบ่งเป็น ๒ ชนิด หน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่หน้าที่หนึ่ง และหน้าที่ว่ารอดชีวิตอยู่แล้วจะไม่ต้องเป็นทุกข์ จะต้องศึกษาฝึกฝนปฏิบัติไม่ให้ ให้ต้องเป็นทุกข์นี่ก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน เป็นหน้าที่ รอดชีวิตอยู่แล้วก็ต้องไม่เป็นทุกข์ หน้าที่อย่าให้ตายนั้นอย่างหนึ่งและหน้าที่อย่าให้เป็นทุกข์นั่นอีกอย่าง มันเป็น ๒ หน้าที่กันอยู่อย่างนี้
หน้าที่เลี้ยงชีวิตอย่าให้ตายนั่นมันก็ยังแบ่งได้เป็นหน้าที่ใหญ่หน้าที่เล็ก หน้าที่ใหญ่คือการประกอบอาชีพ หน้าที่เล็กคือการบริหารร่างกาย จะต้องหาอาหารมากิน จะต้องกิน จะต้องอาบ จะต้องถ่าย จะต้องบริหารให้อย่างนั้นอย่างนี้เรียกว่า เรียกว่าบริหารชีวิต ทีนี้อาชีพ แล้วแต่จะมีอาชีพอะไร อาชีพทำไร่ทำนา ค้าขาย เป็นข้าราชการเป็นอะไรก็ตามนั่นเป็นอาชีพ หน้าที่ใหญ่หน้าที่อาชีพ หน้าที่บริหารอาชีพ ทั้ง ๒ หน้าที่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ อีกทั้งมีหน้าที่ที่จะต้องศึกษาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศาสนาอย่าให้มีความทุกข์ในขั้นสูงสุดอีกก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน แล้วก็ต้องไม่เป็นทุกข์ด้วย
ถ้าว่าที่จริงแล้วมันก็จะเห็นได้ว่าไอ้ ไอ้เรียนธรรมะเรียนศาสนานี่ก็เรียนไปเพื่ออย่าให้มันมีความทุกข์ในอาชีพนั่นแหละ ในการดำรงชีวิตอยู่นั่นแหละมันเนื่องกันอย่างนั้น เราเรียนธรรมะเรียนศาสนา ปฏิบัติอะไรเหล่านี้ก็เพื่อว่าจะได้ไม่มีความทุกข์ในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปๆ มันก็เป็นสิ่งที่น่าจะสนใจ เพราะว่าคุณยังอายุน้อยๆอย่างนี้มันยังต้องอยู่ไปอีกนานแหละกว่าจะดับขันธ์ตามธรรมชาติเรายังอยู่อีกนาน เพราะฉะนั้นควรจะมีความรู้ชนิดที่อยู่ไปอีกนานโดยไม่ต้องมีความทุกข์ หนักหนาระอาใจในการที่จะมีชีวิตอยู่ นี่ควรจะสนใจ ผมจึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรพูด แล้วก็ได้พูดอยู่เรื่อยๆแหละ แต่วันนี้พูดเป็นเฉพาะพระบวชใหม่ซึ่งอาจจะยังไม่เคยฟังก็ได้ ที่จริงเรื่องนี้พูดอยู่เสมอในๆ ในหัวข้อว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม ถ้าเข้าใจหัวข้อนี้แล้วใช้ได้
การทำหน้าที่การงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม บางคนเอาไปเขียนไว้ที่กระจกแต่งตัวบ้าง ที่ฝาห้องบ้างอะไรบ้างการทำงานคือการปฏิบัติธรรม ที่สำนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต หัวหน้าก็มาที่นี่แล้วก็บอกว่าได้ใช้ธรรมะข้อนี้อบรมตักเตือนถือเป็นหลักปฏิบัติ การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่พูดแต่ปากนะ ถ้าทำได้จริงอย่างนั้นนะวิเศษที่สุดเลย คนที่ปฏิบัติได้อย่างนั้นไม่ใช่พูดกันแต่ปากจะวิเศษที่สุดการทำงานคือการปฏิบัติธรรม เพราะว่าเรามีความรู้สึกเคารพนับถือยึดเป็นหลักว่าธรรมะเป็นของสูงสุด การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งดีเลิศ ทีนี้เราก็มีการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ก็หมายความว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ทุกเวลานาที ทุกหนทุกแห่งทุกสถานที่ คุณจะตั้งปัญหาหรือคำถามย้อนกลับมาก็ได้ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ทุกๆอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออก
ลองถามปัญหาอย่างนี้ขึ้นมาแล้วก็หาคำตอบ มันก็ได้แหละมันก็คืออย่างที่ว่านั่นแหละ เพราะเราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาแหละ ทุกหนทุกแห่งหรือตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีการปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่อย่างถูกต้อง นั่นแหละคือปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดเวลา มีธรรมะอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ต้องมานั่งอยู่ที่วัด สวดมนต์ภาวนาทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้อย่างนู้นเหมือนที่ทำเป็นปีๆแหละ บางทีจะทำไปอย่างงมงายโง่เขลาก็ได้ แต่ถ้าทำหน้าที่ของตนอยู่ที่บ้านนั่นแหละอยู่ที่ไหนก็ตามใจที่มันมีหน้าที่แล้วก็ทำเถอะ จะอยู่ที่บ้านหรือจะอยู่ที่วัดก็สุดแท้เถอะ ขอให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาคือมีสติสัมปชัญญะทำให้มันถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ให้มันบอกตัวเองได้ว่ามันถูกต้อง มันถูกต้องอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร แม้เพียงแต่ว่าจะลุกจากที่นั่งตรงนี้ไปนั่งที่ตรงนู้นแล้วก็ระวังให้มันถูกต้องอย่างถูกต้องคือมีประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
หรือว่าเขาตีระฆังตั้งแต่ตี ๔ พอได้ยินระฆังก็พอใจ ถูกต้องที่จะไปประชุม ไปทำวัตรสวดมนต์ไปทำอะไรก็ ก็มาด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องๆ แล้วก็เดินมาด้วยความพอใจว่าถูกต้องๆ แล้วก็มาทำอย่างถูกต้องๆ เสร็จจากนั้นแล้วไปทำอะไรอีกก็ด้วยสติสัมปชัญญะทำอย่างถูกต้องๆ
จนกระทั่งว่าแม้จะฉันอาหาร จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็มีสติทำ ด้วยกำลังจิตใจทั้งหมด มีสมาธิในการกระทำแม้แต่จะถ่ายปัสสาวะจะถ่ายอุจจาระมันก็มีธรรมะอยู่ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ
แม้ที่สุดแต่ว่าจะอาบน้ำก็มีความเข้าใจ รู้สึกสติว่ามันถูกต้อง มันถูกต้อง มันเป็นการบริหารที่ถูกต้อง ถูกตามธรรมถูกตามวินัยที่ให้รักษาร่างกายให้สะอาดให้มีอนามัยดีถูกต้อง แล้วจะได้เป็นรากฐานแก่จิตใจที่ดี คิดนึกได้ดีอะไรได้ดีมันก็เป็นเรื่องถูกต้อง
แม้ที่สุดแต่ว่าคันขึ้นมาก็เกาด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าเป็นคนโง่โมโหโทโส เกาๆ เกาๆคันขึ้นมา อย่างนั้นมันก็เป็นลิง เหมือนกับลิงมันเกานั่นแหละมันเกาด้วยโมโหโทโส นี่เราเป็นคน แม้แต่ว่าคันขึ้นมาจะเกาก็ขอให้เกาด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วก็รู้สึกว่าถูกต้อง พอมีความรู้สึกว่าถูกต้องมันก็เป็นธรรมะทันที แม้แต่เกาเมื่อคันมันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะหรือมีธรรมะ มันไม่ ไม่มีเวลาไหนหรอก
แม้เวลาง่วงนอนขึ้นมามันก็ต่อสู้ตามสมควรที่จะทำให้ควรนอนก็ไม่นอน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะอีกแหละ ระงับความง่วงนอนเสียได้ ถ้าต้องไปนอนก็พอใจแล้วถูกต้องแล้วที่ต้องไปนอน เพราะการนอนนั่นเป็นการถูกต้องที่จะต้องสำหรับจะบริหารร่างกายให้ปกติสำหรับจะมีเรี่ยวแรงปฏิบัติหน้าที่อะไรต่อไป การนอนก็คือการปฏิบัติธรรมไปเลย ถ้ารู้สึกอย่างนี้นะการนอนก็เป็นการปฏิบัติธรรมะไปเลย กลัวแต่มันจะไม่รู้สึกอย่างนี้มันจะเอาเปรียบจะนอน เอาเปรียบจะนอนอย่างเห็นแก่นอน ถ้าอย่างนี้มันไม่เป็นธรรมะจริง ดังนั้น ท่านจึงสอนให้มีสติสัมปชัญญะนอน กำหนดว่าถึงเวลานอนแล้วก็นอนอย่างดีที่สุดอย่างสีหไสยา ใจความง่ายๆว่านอนตะแคงข้างขวา ซ้อนเท้าเหยียดเท้า กำหนดสติว่าเราจะนอนแล้วจะลุกเมื่อไร ก็นอนอย่างนั้นด้วยความปกติจนกว่าจะตื่นขึ้นมา ไอ้การนอนมันก็เลยกลายเป็นปฏิบัติธรรมะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปอีกเหมือนกันตลอดเวลาที่นอน
เวลาที่นั่งทำอะไรอยู่อย่างที่เห็นว่ามันถูกต้องแล้วมีประโยชน์ เมื่อเดินก็รู้ว่าเดินนี้เดินไปไหนเดินเพื่ออะไรก็มีความถูกต้อง ทำให้มันมีความถูกต้อง ทุกก้าวย่างว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วทุกก้าวย่างมันก็มีธรรมะอยู่ทุกก้าวย่าง เดินยืนนั่งนอนทุกอิริยาบถมีความถูกต้อง บอกตัวเองได้ว่าถูกต้อง มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนี้ ก็ทีนี้ก็เรียกว่าทุกอิริยาบถแหละ จะกินอาหาร จะถ่ายอุจจาระจะปัสสาวะ จะอาบน้ำ จะนุ่งผ้า จะกวาดบ้าน กวาดลาน กวาดเรือน ล้างถ้วยล้างชาม จะทำอะไรทุกอย่างแหละให้มันมีสติสัมปชัญญะ แล้วมันมีผลดีเลิศเป็นการฝึกสมาธิอยู่ในตัว ถ้าเราฝึกจิตของเราให้ทำอะไรด้วยกำลังจิตทั้งหมด มีสติสัมปชัญญะทั้งหมดมันก็เป็นการฝึกสมาธิอยู่ทุกอิริยาบถ
แม้แต่ล้างจาน กวาดบ้านกวาดเรือน นั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เดี๋ยวจะพูดหยาบคายว่าแม้แต่ล้างก้นมันจะเป็นการทำสมาธิอยู่ในขณะที่ล้างก้น ทุกอย่างทุกอิริยาบถมันทำให้เป็นธรรมะได้ นี่จึงสรุปความได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ
ในเรื่องอาชีพก็เหมือนกันทำไร่ทำนาทำสวน ค้าขาย ทำราชการทำอะไรก็ขอให้มันมีสติสัมปชัญญะทุกอิริยาบถถูกต้องๆ ถูกต้อง ไม่ขี้เกียจ ไม่บิดพลิ้วอย่างที่เป็นกันอยู่โดยมาก นี่มันจะแก้ปัญหาส่วนตัวได้หมด แก้ปัญหาของประเทศชาติได้หมดถ้าว่ามนุษย์ทุกคนมันมีการปฏิบัติธรรมะอยู่ทุกอิริยาบถซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่พวกคนโง่คงจะเถียงว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก เราจะมีธรรมะอยู่ทุกอิริยาบถเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ผมท้าว่าทำได้อย่างที่ว่ามาแล้วนี่ทำได้ มีความถูกต้องอยู่ทุกๆอิริยาบถ ดังนั้นเราสามารถมีธรรมะอยู่ทุกอิริยาบถ ทุกครั้งที่หายใจออกเข้าทำให้เป็นอานาปานสติเสียเลยก็ได้ หายใจออกว่าถูกต้องแล้ว หายใจเข้าว่าถูกต้องแล้วเพราะเรามีความถูกต้องอยู่ ตลอดเวลาที่เราหายใจเข้าก็มีการกระทำที่ถูกต้อง ตลอดเวลาที่หายใจออกก็มีการกระทำที่ถูกต้อง มันเลยมีธรรมะอยู่ทุกครั้งที่หายใจออกเข้า ไอ้พวกคนโง่เขาหาว่าพูดอย่างนี้มันได้แต่พูด มันดีแต่พูด มันสำหรับพูด
คำพูดในพุทธศาสนาระดับนี้แหละถูกคนบางจำพวกนะอย่าออกชื่อเลย หาว่าเป็น idealism เกินไป ดีแต่พูด ทำไม่ได้หรอก เป็น intellectual มากเกินไป ดีแต่คิดนึก ทำไม่ได้หรอก มันว่าแต่อย่างนี้นะ แต่ทีนี้เราบอกว่าไม่ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องโคมลอยแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ทำได้จริงๆนะ เป็น practical ทุกอย่างเลยที่พูดนี้ทำได้ ไม่เป็นเพียงความเพ้อฝันหรือว่าความคิดอย่างสนุกๆ นี่ถ้าคุณเป็นพุทธบริษัทจริงคุณก็ต้องมีความรู้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างถูกต้องสิ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่าลืมเสีย เอาติดปากเอาไว้บ้าง ติดปากเอาไว้บ้าง พุทธะ
พุทธะ แปลว่าอะไร แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเป็นชาวพุทธต้องมีความรู้ถูกต้องเป็นผู้ตื่นคือไม่หลับ ไม่โง่อย่างคนหลับ แล้วก็เบิกบาน ก็พอใจ สดใสร่าเริงอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ทำได้ถ้ามีสติสัมปชัญญะทำให้รู้ว่าการงานทุกอิริยาบถเป็นธรรมะมันก็เบิกบานแหละ ก็พอใจ พอใจมันก็เบิกบาน จงกระทำให้ชีวิตนี้มันมีความถูกต้องพอใจทุกอิริยาบถ มีความสุขทุกอิริยาบถ ฉะนั้นการทำงานเป็นความสุขเสียแล้ว ไม่ต้องไปเอาเงินที่เป็นผลงานมาซื้อหากามารมณ์บันเทิงเริงรื่นให้มันโง่ ให้มันสกปรก ให้มันผิดเสียอีก ดังนั้นเพียงแต่เราทำงานทำหน้าที่อย่างเดียวก็เป็นความถูกต้อง เป็นความสุข เป็นความเบิกบานถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องเอาผลงาน เอาผลที่ เงินที่เป็นผลงานมากินมาใช้อะไรก็ยังได้รับความสุขความพอใจ ทีนี้ผลงานเหล่านั้นไม่ไปไหนเสียหรอก ไม่ แม้ว่าเราจะมีความคิดอย่างนี้ทำงานอย่างนี้ไอ้เงินมันก็ยังอยู่ จะใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างไรก็ได้ ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไปสิ ถูกต้องต่อไปสิ อย่าไปซื้อหากามารมณ์ที่หลอกลวง ทำตัวเองให้โง่ ถอยหลังกลับไปอีกทิศทางหนึ่ง
ช่วยจำไว้เป็นหลักว่าความสุขนั้นหาได้เมื่อลงมือทำงาน ตั้งแต่ลงมือทำงาน ใครหาไม่ได้คนนั้นโง่ บรมโง่ คือบวชเสียเปล่าๆ ศึกษาเสียเปล่าๆ ไม่รู้ว่าความสุขเป็นสิ่งที่หาได้เมื่อทำ ลงมือทำงานหรือกำลังทำงาน ไม่ใช่ต่อเมื่อเอาเงินผลงานไปซื้อไปหา ไปใช้ไปจ่าย นั่นมันคนโง่ มันใช้ไปอย่างโง่ๆ มันก็ซื้อหาเรื่องกามารมณ์ที่เพลิดเพลินหลอกลวงตัวเอง ถ้าปฏิบัติได้ถึงขนาดว่ามีความสุขตั้งแต่เมื่อกำลังทำงานนั่นแหละเป็นชาวพุทธแท้ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานโดยแท้จริง เป็นความสุขแท้จริง แล้วก็ได้มาเปล่าได้มาฟรีๆ เพราะว่าไอ้งานเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้วนี่ ก็ต้องกินอาหาร ก็ต้องอาบน้ำ ต้องอุจจาระปัสสาวะ ต้องอะไรก็ต้องทำอยู่แล้วนี่ ทีนี้ทำให้มันกลายเป็นความสุขความพอใจเสียโดยการทำให้มันถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะถูกต้องเรียกว่าความสุขแท้จริงนี่ได้ฟรีไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องซื้อหา ส่วนวัตถุกามารมณ์ที่แพงๆไปซื้อมาจากตลาดร้านค้านั่นมันเรื่องหลอกลวงแล้วก็แพงด้วย ต้องมีความโง่เป็นทาสของมันเท่านั้นแหละจึงจะไปซื้อหามาได้ ถือเป็นหลักได้เลยว่าความสุขที่แท้จริงเป็นของให้เปล่าๆ เพราะว่าเรามันต้องทำหน้าที่อยู่แล้ว แล้วก็ทำหน้าที่นั้นให้เป็นความสุขเป็นความพอใจเสีย
ผมนึกๆ ดู เอ้ย! บางทีก็รู้สึกว่าเอ๊ะ! ไอ้คนนี่มันอย่างไรนะ เห็นนกตัวเล็กๆมันบินมาที่นี่ ไปมาหรืออะไร หากินพลิกใบไม้ไปๆ ตรวจค้นทุกใบไม้หาอาหาร ดูร่าเริงพอใจตัวเองสบายเป็นสุขที่สุด ไอ้นกตัวเล็กๆมีความสุขเมื่อกำลังทำงาน แต่มนุษย์ทำไมมันไม่เป็นอย่างนั้น ดูไอ้สัตว์ทั้งหลายสุนัขและแมวหรืออะไรก็ตามมันก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีความทุกข์ แล้วมันก็จะพอใจร่าเริงเมื่อออกเที่ยวหาอาหารเที่ยวหากิน ทำงานด้วยความพอใจด้วยความเป็นสุข วัวควายก็เหมือนกันดูเหมือนจะไม่ค่อยจะมีความทุกข์กัน หากินไปพลางเป็นสุขไปพลาง แล้วบางทีก็ไม่ได้กิน ไม่มีพอก็ ก็ดูเหมือนยังเฉยๆอยู่อย่างนั้นแหละมันไม่มีความดิ้นรน เดือดร้อนด่าใครเหมือนคนถ้าหิวขึ้นมาก็ด่า แต่สุนัขหรือแมวนี่ผมฟังไม่รู้นะ แต่ไม่เห็นว่ามันมีแสดงอาการโกรธแค้นโหดร้ายอะไรเลย บางวันก็ไม่ได้กินก็อยู่เฉยๆ อย่างนั้น บาง บางวันไก่บางตัวไม่ได้กินหรอก ไม่ได้กินอะไรนัก ก็ค่ำลงก็นอนสบายปกติ กินเต็ม กินจนเต็ม เต็มท้องมันก็อย่างนั้นแหละ มันก็อย่างนั้นสม่ำเสมอมากทีเดียว โดยเฉพาะปลานี่ยิ่งๆ ยิ่งๆเห็นว่าเป็นอย่างนั้นมากขึ้น จะได้กินหรือไม่ได้กินมันก็อยู่อย่างนั้นนะไอ้ปลา หรือจะอะไรนี่มันก็ดีกว่าคนเว้ย! ถ้าไม่ได้กินก็หงุดหงิด แล้วก็ด่าขรมไปหมด แช่งชักหักกระดูกคนนั้นคนนี้ นี่เพราะคนมันคิดเก่งเกินไป
สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่นั้นมันคู่กันมากับชีวิต ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็คือตาย เราดูกันให้ละเอียดที่สุดจนถึงกับว่าไอ้เซลล์ทุกเซลล์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อหนังของเรานั้นมันก็ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง มันจึงเป็นเนื้อหนังร่างกายอวัยวะอยู่ได้เพราะว่าไอ้เซลล์ทุกเซลล์มันทำหน้าที่ มีความรอดชีวิตอยู่ได้ก็เพราะว่ามันมีการทำหน้าที่ ครั้นมันเป็นคน เป็นตัวเป็นตน เป็นคนขึ้นมาคนหนึ่งแล้วก็รอดชีวิตอยู่ด้วยการทำหน้าที่ เด็กทารกเพิ่งคลอดมาจากท้องแม่มันก็ต้องทำหน้าที่ ทำหน้าที่ทุกอย่างที่มันจะต้องทำ จนกระทั่งมันต้องกินต้องถ่ายต้องอะไรต่างๆมันทำหน้าที่ นี่มันเป็นทำหน้าที่ใหญ่ของส่วนรวม หน้าที่ละเอียดของเซลล์แต่ละเซลล์คุณก็เรียนกันมาแล้วนี่ว่าร่างกายมันประกอบขึ้นด้วยเซลล์จำนวนมหาศาลเท่าไร ทุกเซลล์มันทำหน้าที่เป็นชีวิตขึ้นมาได้
ครั้นเป็นคนหนึ่งคนแล้วก็ต้องทำหน้าที่อีกแหละ หรือจะแยกเป็นว่าส่วนทุกส่วนต้องทำหน้าที่ ตาต้องทำหน้าที่ หูต้องทำหน้าที่ จมูกต้องทำหน้าที่ อะไรก็ต้องทำหน้าที่ เท้าก็ทำหน้าที่ มือก็ทำหน้าที่ แขนขาก็ต้องทำหน้าที่ มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ ชีวิตมันคือหน้าที่ หน้าที่มันคือชีวิต ในเมื่อมันต้องทำหน้าที่แล้วก็อย่าให้มันเป็นทุกข์สิ ถ้าเป็นทุกข์มันคือคนโง่จนไม่รู้จะพูดว่าโง่เท่าไร มันโง่เหลือจนจะพูดได้ว่าโง่เท่าไรถ้าทำหน้าที่แล้วจะแล้วเป็นทุกข์ มันควรจะพอใจแหละเพราะว่าหน้าที่มันคือชีวิต ชีวิตมันคือหน้าที่ มันควรจะพอใจ เมื่อทำหน้าที่แล้วเป็นทุกข์ไม่พอใจ กระฟัดกระเฟียดอย่างนี้คือคนที่มันไม่รู้อะไรเลย เรียกว่าเป็นคนโง่ที่สุดกว่าความโง่ชนิดไหนหมดมัน มันไม่รู้ว่านั้นมันคือชีวิตนี่มันคือชีวิต หน้าที่มันคือชีวิต ไอ้เซลล์ทุกๆ เซลล์มันทำหน้าที่ให้เป็นชีวิตอยู่ได้ ครั้นมันเป็นชีวิตเป็นคนขึ้นมาคนหนึ่งแล้วกลับไม่ทำหน้าที่ มันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วมัน มันเหลวไหลที่สุดนะ ทีนี้เมื่อทำหน้าที่มันก็ต้องไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์มันก็คือคนโง่เพราะมันไม่รู้จักหน้าที่ เพราะมันไม่รู้จักการทำหน้าที่มันก็รู้สึกเป็นทุกข์
ถ้ามันเป็นคนมีความรู้มันอ้าว! มันก็ถูกแล้วนี่มันถูกแล้ว มันถูกแล้ว มันก็พอใจ พอใจ ทำหน้าที่ทุกอย่างมันก็พอใจ พอใจไปหมด จะพอใจอย่างโง่ๆก็ได้เอ้อ! มันนี่ถูกแล้วมันจะได้รอดชีวิต มันคิดอะไรไม่เป็นมันจะคิดอย่างนี้ก็ได้ มันก็ยังดีกว่าที่ไปเป็นทุกข์มันไม่ต้องเป็นทุกข์หรอก แต่ถ้ารู้ลึกซึ้งว่าโอ้ว! มันถูกแล้วนี่มันถูกแล้วนี่มันก็พอใจ ขอบใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง บูชาตัวเองว่ามีแต่การกระทำหน้าที่ที่ถูกต้องตลอดเวลา แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ไปสูงสุดอยู่ที่ตรงยกมือไหว้ตัวเองได้
ผมก็เลยบอกทุกคนว่าเมื่อไรยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นแหละคือสวรรค์ที่แท้จริงที่ไม่หลอกลวง เมื่อไรมันเกลียดตัวเอง มีความบกพร่องเห็นอยู่ เกลียดตัวเองนี่คือนรก นรกแท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้
สนใจนรกสวรรค์ที่แท้จริงอย่างนี้กันเสียบ้าง ไอ้นรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้านั้นมัน มันต่อตายแล้วนั่นมันไม่รู้ มันรู้ไม่ได้ มันไม่รู้นี่มันยังไม่แน่นอน ไอ้ที่มันแน่นอนที่อยู่เดี๋ยวนี้ทำไมไม่เห็นไม่รู้ แล้วมันก็แน่นอนต่อไปอีกว่าถ้าว่าได้สวรรค์อย่างนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้และไม่ต้องกลัว ตายแล้วได้สวรรค์ทุกชนิดจะมีกี่ชนิดได้หมด ถ้ามันตกนรกที่นี่อย่างนี้เดี๋ยวนี้แล้วไม่ต้องกลัว ตายแล้วมันได้ตกนรกทุกชนิดอีกเหมือนกัน นั่นแหละสวรรค์นรกต่อตายแล้วนั่นมันขึ้นอยู่กับนรก สวรรค์ที่แท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ที่มีอยู่ในการกระทำในชีวิตนี้
ผมพูดอย่างนี้มีคนเขาด่าว่าผมยกเลิกเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ คุณลองคิดดูยกเลิกหรือไม่ยกเลิก เราชี้ให้เห็นชัดๆ ชัดที่นี่และเดี๋ยวนี้มันกลับหาว่ายกเลิก เพราะว่าเขามันยึดถือนรกต่อตายแล้วสวรรค์ต่อตายแล้ว นรกอยู่ใต้ดินสวรรค์อยู่บนฟ้า จะได้กันก็ต่อตายแล้ว นั่นมันเป็น เป็นเรื่องของคนโง่พูดมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนะ แต่ว่ามันโง่ชนิดที่มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละก็ถือกันมาจนบัดนี้ ในพุทธศาสนาก็ไม่ปฏิเสธคำพูดของคนเหล่านั้นหรอกนรกสวรรค์อย่างนั้นอย่าตกนรก ขอให้ได้สวรรค์เถิดก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ว่าในพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าตรัสสอนชี้ชัดลงไปว่านรกอยู่ที่อายตนะ ผัสสะอายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์อยู่ที่ผัสสะอายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จงดูให้ดี ส่วนนรกชนิดใต้ดินสวรรค์บนฟ้านั้นเขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดเขาพูดกันอยู่แล้ว ของใครก็ไม่รู้ พูดกันมาจนกลัวก็มี จนอยากได้ตัวจะ ใจจะขาดก็มี จนเป็นเรื่องทำดี แล้วก็ให้ทำดีมันก็มีประโยชน์ ถ้าบางอย่างเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ก็เก็บไว้ก่อน เรื่องนรกสวรรค์ใต้ดินนั่นต่อตายแล้วแหละเก็บไว้ได้มีประโยชน์ ให้คนที่ไม่มีความคิดอย่างอื่นจะได้เชื่อแล้วก็ทำดีๆ ทำดีเพราะมีประโยชน์ แต่พร้อมกันนั้นจะเป็นความทรมาน ความหิวความกระหายความอะไรอยู่ในตัว แต่ไม่ต้องพูดถึงหรอกคนโง่เขาไม่รู้สึกหรอก หิวสวรรค์นั้นมันจะยิ่งกว่าหิวข้าว แต่ก็ไม่เป็นไรเอาหิวไว้ก่อนก็ดี ถ้ามันจะได้ทำดีๆเป็นประโยชน์แก่สังคม ในที่นี้ไอ้ความจริงจะเป็นอย่างไรมันก็จัดการของมันเอง แต่ว่า
ถ้าทุกคนทำดีๆโดยอยากจะได้สวรรค์มันก็ดีแหละมันก็ดี แต่อย่าลืมว่าไอ้สวรรค์ที่แท้จริงที่มันจะรู้สึกกันได้แท้จริงมันอยู่ที่การกระทำ ที่เนื้อที่ตัว ถูกหรือผิด ทำถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัวก็เป็นสวรรค์อยู่ที่เนื้อที่ตัว ทำผิดเป็นนรกก็อยู่ที่เนื้อที่ตัว ปู่ย่าตายายของเราเคยเข้าใจเรื่องนี้เขาจึงพูดไว้เป็นหลักว่าสวรรค์ในอกนรกในใจนี่ นี่คือคำพูดที่ถูกต้องที่สุด ไม่ใช่สวรรค์ต่อตายแล้วอยู่ใต้ดิน เอ้ย! สวรรค์ต่อตายแล้วอยู่บนฟ้า นรกต่อตายแล้วอยู่ใต้ดิน ใต้บาดาลนู่น นั่นมันก็เป็นคนอื่นเขาพูด ทำใจ ปู่ย่าตายายของเราฉลาดพอที่จะพูดว่าสวรรค์ในอกนรกในใจคือว่ามันทำผิดหรือทำถูกอยู่ในใจ
พอทำถูกชอบใจตัวเอง พอใจตัวเอง ชื่นใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ก็เป็นสวรรค์อยู่ในใจ พอทำผิด เกลียดน้ำหน้าตัวเอง เดือดร้อนตัวเอง กัดกร่อนอยู่ในหัวใจตัวเองมันก็เป็นนรกในใจตัวเอง ดังนั้นขอให้ทำหน้าที่ในฐานะที่ว่าเป็นชีวิต ชีวิตเป็นหน้าที่ หน้าที่เป็นชีวิต การทำหน้าที่คือการทำชีวิตหรือรักษาชีวิตหรือเป็นตัวชีวิต ตัวชีวิตอยู่ที่หน้าที่เสียดีกว่า ถ้ามีความรู้อย่างนี้มันก็เห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ในการทำหน้าที่ พอใจๆ พอใจ ถูกต้องพอใจๆ มีแต่ความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วก็พอใจ ถูกต้องแล้วก็พอใจ กวาดขยะถูกต้องพอใจ อาบน้ำถูกต้องพอใจ ล้างเท้าถูกต้องพอใจ ล้างหม้อล้างไห ล้างถ้วยล้างชามถูกต้องพอใจ เป็นสวรรค์อยู่ทุกอิริยาบถ เป็นการฝึกสมาธิอยู่ทุกอิริยาบถ เป็นการฝึกสติอยู่ทิก ทุกอิริยาบถ ไอ้พวกคนโง่มันไม่เอามันไปทำพิธีรีตองอย่างอื่นนู่น แล้วมันก็ได้แต่ความหวังว่าต่อตายแล้วจึงจะได้ จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีใครรับรอง เดี๋ยวนี้มันรับรองอยู่ในตัว คุณทำให้ถูกต้องพอใจเป็นสวรรค์อยู่ในตัวสิ มันก็รับรองอยู่ในตัว ถ้ามันมีชาติหน้าอีกมันก็ได้อีกแหละไม่มีก็ไม่ขาดทุนอะไร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องดับทุกข์กันเสียที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดต่อตายแล้ว ดับทุกข์กันเสียให้ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
นี่เรื่องแรกที่ผมพูดวันนี้ก็คือว่าอย่ามีความทุกข์ในการทำหน้าที่ เพราะสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่มันต้องมี มีไปจนตาย แม้การตายมันก็เป็นหน้าที่ อย่าโง่ไปนัก แม้ในการตายมันก็เป็นหน้าที่ของสังขาร สังขารมีหน้าที่ทุกอย่างทุกประการจนกระทั่งว่าเกิดแก่เจ็บตายต้องไม่มีความทุกข์ ถ้าไม่ ไม่มีความรู้มันก็มีความทุกข์อยู่ในความเกิดแก่เจ็บตาย ถ้ารู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่สังขารมันจะต้องเป็นอย่างนั้นคือตัวเรานั่นแหละ สมมติว่าตัวเรามันมีหน้าที่ที่จะต้องเกิดแก่เจ็บตาย ทำให้มันสนุกไปเลย ทุกๆการงาน ทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุก มีความถูกต้อง จะเรียกว่าเป็นการเกิดมันก็ถูกต้อง เป็นการแก่มันก็แก่อย่างถูกต้อง ความเจ็บก็เจ็บอย่างถูกต้อง เพราะมันเป็นหน้าที่ที่จะต้องเจ็บก็เจ็บให้ดีที่สุด หัวเราะเยาะความเจ็บมันจะได้หายเร็ว ตายก็ตายดี นี่แก้ลำ ทำให้ความเกิดแก่เจ็บตายนี้เป็นบทเรียนไปเสีย แล้วก็ไม่ต้องมีความทุกข์ด้วย
นี่เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านยืนยันว่าได้พระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้วจะพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย คือจะพ้นจากปัญหาที่มาจากความเกิดแก่เจ็บตาย ความเกิดแก่เจ็บตายจะไม่เป็นความทุกข์ จะไม่เป็นปัญหาแก่ใครเลยถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว คือมารู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เพิกถอนตัวตนเสียได้ในที่สุด มันก็เลยพ้นจากปัญหาเกิดแก่เจ็บตายเรียกว่าไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ไม่มีตัวไม่มีตนสำหรับจะเกิดแก่เจ็บตายนี่เรียกว่าพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย
ไอ้คนบรมโง่มันก็หาเป็น idealism มีแต่ไว้พูดมีแต่ไว้คิด ทำไม่ได้ๆ ก็ช่างหัวมันสิ บางทีจะต้องระบุพวกฝรั่งที่คงแก่เรียนอีกนั่นแหละที่มันจะเห็นว่าคำสอนในพุทธศาสนานี้เป็น idealism ไม่ practical คือไว้สำหรับคิดสำหรับนึกสำหรับเพ้อฝัน เราพยายามที่จะเข้าถึงความจริงข้อนี้ สามารถมีความถูกต้องและพอใจในการทำงาน ในการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถทุกครั้งที่หายใจ คุณยกตัวอย่างมาสิเรื่องอะไรบ้างที่ไม่อาจจะทำได้ในอย่างนี้ วันหนึ่งคุณจะต้องทำอะไรบ้างพวกคุณไปดูเอา มันทำให้ได้ความ ด้วยสติสัมปชัญญะให้ถูกต้องและพอใจได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะกำลังมีความทุกข์หรือกำลังมีความสุข ถ้ากำลังมีความทุกข์ก็แก้ไขความทุกข์ไปอย่างถูกต้องและพอใจ ถ้ามีความสุขก็เช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง เท่านั้นเองมันก็อย่าไปหลงกับมัน มีสติตลอดเวลา มีสมาธิตลอดเวลา มีความถูกต้องตลอดเวลา พอใจตลอดเวลา เมื่อพอใจแล้วก็ไม่ต้องสงสัยแล้วมันก็เป็นเรื่องของความสุข พอใจก็เรียกว่าปีติ หลังจากปีติแล้วมันก็มีรู้สึกเป็นสุข เรียกว่าเป็นสุข มีสติควบคุมตนเองมันก็ควบคุมการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจให้มีแต่ความถูกต้องๆ ถูกต้อง พอใจๆ พอใจๆ ถ้ามันเป็นเรื่องฝ่ายร้ายนะฝ่ายเจ็บปวดจนเกิดการเจ็บไข้หรือเกิดการเจ็บปวด เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาก็ถูกต้อง ก็ถูกต้อง
ในโลกนี้วัฏสงสารนี้มันก็มีความเป็นอย่างนี้ มันก็มีความเป็นอย่างนี้ มันก็เช่นนี้เอง ต้อนรับเอาในฐานะมันเป็นการศึกษาก็ได้ อย่าต้องเป็นทุกข์เลย อย่าต้องเป็นทุกข์เลย เลยไม่รู้ว่าจะเป็นทุกข์กับอะไร ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเป็นทุกข์แล้วมันก็เลยไม่มีทุกข์ มันจึงเรียกว่าทำหน้าที่คือมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่ยอดสุดสูงสุดของสิ่งที่มีชีวิตมันก็คือมนุษย์ชนิดนี้
มนุษย์ชนิดนี้คือยอดสุดของสิ่งที่มีชีวิต เป็นต้นร้าย ต้นไม้ต้นไร่มันก็มีชีวิตมันก็สูงสุดไปไม่ได้เพราะมันคิดนึกอะไรไม่ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็สูงสุดไปไม่ได้เพราะมันคิดได้เท่านั้น แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วมันก็ควรจะได้มาจนถึงนี่แหละในชีวิต ตรงตามความหมายของคำว่าชีวิต คำว่าชีวิต ชีวิตนี้สังเกตดูตามภาษาบาลีแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลว่าสด สด ของสด ถ้ามันไม่สดมันคือ คือแห้งหรือตาย ถ้าเรามีความรู้สึกอย่างนี้มันก็จะสดคือสดชื่นแจ่มใส สดชื่นสมกับที่จะเรียกว่ามีชีวิต ฉะนั้น ขอให้เรามีชีวิตชนิดนี้กัน มีแต่ความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจทั้งเวลาตื่นและทั้งเวลาหลับ หลับแล้วก็แล้วไป ทำหน้าที่หลับก็หลับ ก็หลับด้วยความพอใจ มันก็พอใจตลอดเวลาที่หลับ ตื่นขึ้นมาก็พอใจอย่างที่มันตื่นอยู่อย่างตื่นๆ นี่เรียกว่ามีธรรมะ มีความสุขอยู่ทั้งหลับและตื่นก็พอแล้ว นี่ขอให้จำเป็นหลักว่าต่อไปเมื่อจะต้องทำ ไปทำหน้าที่การงานอะไร หน้าที่ใหญ่หน้าที่เล็ก หน้าที่ที่ออฟฟิศ หน้าที่ที่บ้านเรือน หน้าที่ที่ไหนก็ตามต้องไม่เป็นทุกข์ อย่าเป็นทุกข์ให้โง่มันจะละอายสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะหน้าที่การงาน
ทีนี้ก็มาเรื่องที่ ๒ ทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือทำประโยชน์ตนอย่างยิ่ง คงไม่มีใครเห็นด้วย พอพูดออกมาก็จะไม่มีใครเห็นด้วย แต่ถ้าพยายามคิดนึกไปตามเรื่อยๆ บางทีจะเห็นด้วยคือจะเห็นด้วยก็ได้
เรามันเกิดมาแล้วถูกอบรมให้มีตัวตนแล้วเห็นแก่ตน เห็นแก่ตนโดยไม่รู้สึกตัว ผู้อบรมก็ไม่รู้สึกตัว พูดกันอย่างนี้เลย พ่อแม่นั่นแหละ พี่เลี้ยงนางนมอะไรก็ตามมันอบรมเด็กๆมาให้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น มันก็เลยไม่รู้สึกตัวทั้งเด็กๆ และทั้งผู้ ผู้ให้กำเนิดและผู้อบรม โตขึ้นมาๆ โตขึ้นมามันเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัว
เมื่ออยู่ในท้องเสียอีกนะมันไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวของกูมีอะไรมันไม่ มันก็ไม่เห็นแก่ตัวได้อยู่ในท้อง มันไม่นึกคิดอะไรได้ พอเกิดออกมาใหม่ๆ มันก็ยังคิดนึกไม่ได้ ยังเห็นแก่ตัวไม่ได้ แต่แล้วมันก็ค่อยเจริญๆมันมาเป็นทารก เติบโตกินอาหาร ได้รับการประคบประหงม รอดชีวิตมาหลายวันเข้า ๆ อวัยวะสำหรับทำความรู้สึกมันก็รู้สึกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็ทำหน้าที่ มันก็มีความรู้สึกในภายในเป็นเวทนา เป็นผัสสะแล้วเป็นเวทนา มีความรู้สึกชนิดที่ถูกใจๆ อร่อยๆ แล้วก็รู้สึกอีกทางหนึ่งไม่ถูกใจ ไม่อร่อย คือ ขัดเคือง ทารกนั้นก็เริ่มรู้สึกขัดเคืองเป็น อร่อยเป็น คือพอใจเป็น ไม่พอใจเป็น ที่พอใจหรือไม่พอใจก็ตามแหละถ้ามันหนักเข้าๆ เข้มข้นเข้าๆมันเกิดความรู้สึกอันใหม่ขึ้นมาเองว่า กูพอใจหรือกูไม่พอใจ ทีนี้อะไรที่เป็นที่พอใจแก่กู กูก็พอใจๆ กูก็เห็นแก่ตัวเองที่จะได้อย่างนั้น กูต้องได้อย่างนั้น กูต้องได้อย่างนั้น นี่เด็กๆ มันก็เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้อง ไม่ต้องมีการสอนอะไรกันเป็นพิเศษ แล้วผู้อบรมก็ไม่รู้สึกว่าได้อบรมเด็กๆ ให้มีความเห็นแก่ตัวอย่างนี้แล้วเพราะว่าเขารักนี่
พ่อแม่มีลูกออกมาก็รัก คนเลี้ยงก็รัก ใครก็รัก รักก็ช่วยกันแต่จะให้มันได้รับความพอใจ ความพอใจมันก็ทำให้เกิดตัวกูผู้พอใจ บางอย่างมันไม่ตรงตามความประสงค์มันก็เกิดตัวกูผู้ไม่พอใจ เกิดตัวกูของกูขึ้นมาสำหรับจะพอใจสำหรับจะไม่พอใจยิ่งขึ้นๆ ทั้งหมดนี้ก็เรียกว่าเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ที่พอใจก็เห็นแก่ตัวเพื่อจะเอามา ที่ไม่พอใจก็เห็นแก่ตัวเพื่อจะออกไป เพื่อจะทำลายเสีย
ความรู้สึกมันจึงมีไอ้ ๒ ชนิดอย่างนี้ยินดียินร้าย ยินดีก็เห็นแก่ตัวไปแบบหนึ่ง ยินร้ายก็เห็นแก่ตัวไปอีกแบบหนึ่ง เพราะมันไม่ได้ตามใจตัวมันจึงยิน จึงยินร้ายเพราะได้ตามใจตัวมันจึงยินดี ฉะนั้น คือ เห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งยินดีและยินร้าย
เราก็มีความเห็นแก่ตัว คือ มันรู้จักไอ้ความเห็นแก่ตัวไว้ว่าเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหมดจนตลอดเวลา ตลอดอวกาศคือตลอดเวลาไม่มีสิ้นสุด ตลอดพื้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็มีปัญหาเพราะเห็นแก่ตัวมันจึงพยายามที่จะเห็นแก่ตัว มันจึงมีการเอาเปรียบผู้อื่นด้วยกัน อาชญากรรมเพื่อจะเอาของผู้อื่นมา มันก็มีความทุกข์ขยายออกไปถึงผู้อื่น
เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็ทรมานอยู่คนเดียว เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว หลงใหลในชีวิตในความอร่อยในอะไรก็ๆ ก็แบกตัวเองอยู่คนเดียว เป็นความหนักอยู่คนเดียวเพราะความมีตัวและเห็นแก่ตัว นี่แหละความเห็นแก่ตัวแม้อยู่คนเดียวก็มีความทุกข์เพราะเห็นแก่ตัว ถ้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นก็มีความทุกข์เพราะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความเห็นแก่ตัวเลวร้ายขนาดนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง
ความเห็นแก่ตัวอุปาทาน อุปาทาน อุปาทานขันธ์ สรุปแล้วอุปาทานขันธ์เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นทุกข์เพราะไม่ ไม่แบกขันธ์ไม่แบกอะไรเป็นตัวเป็นของตัว แล้วมันก็ไม่มีทางที่จะไปทำร้ายคนอื่นให้เป็นทุกข์ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันเปลี่ยนเป็นสงบสุขเป็นสันติภาพ พอเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็ตัวก็หนักของตัว ไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นก็ทำเขาให้เดือดร้อน ถ้าอะไรจะมาช่วยบรรเทาความเห็นแก่ตัวได้อันนั้นแหละสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง เป็นฝ่ายความถูกต้อง เป็นฝ่ายกุศลแหละ ถ้าอะไรมันมาทำให้เห็นแก่ตัวนั้นฝ่ายบาปฝ่ายชั่ว
ทีนี้การทำประโยชน์ผู้อื่นแหละจะด้วยเหตุใดก็ตามมันจะบรรเทาความเห็นแก่ตัว อย่างดีก็ได้อย่างไม่สู้ดีก็ได้ ช่วยผู้อื่นเพราะอยากจะได้ผลกำไรมันก็ยังดีอยู่ที่ว่ามันทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา แต่ถ้าช่วยผู้อื่นโดยแท้จริงโดยไม่หวังกำไรนั้นแหละมันกลับได้แก่ผู้ทำมากที่สุดเพราะมันลดความเห็นแก่ตัว มันเป็นไปเพื่อนิพพาน การช่วยผู้อื่นนี่มันลดความเห็นแก่ตัวและมันได้ก่อน
บางทีผู้ที่เราช่วยเขานี่เขายังไม่ได้รับอะไรเลยก็ได้ ผู้ที่เราจะทำประโยชน์ให้แก่เขานะเขายังไม่ได้รับอะไรเลยก็ได้ แต่เราผู้ทำนี่ได้ประโยชน์แน่ ได้ประโยชน์ตั้งแต่คิดจะทำคือลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ได้มากได้ก่อน ได้ก่อนฝ่ายนู้นที่เราคิดจะไปช่วยเขา ดังนั้นการทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือการทำประโยชน์แก่ตัวอย่างยิ่ง เพราะว่ามันลดความเห็นแก่ตัวนี่ซึ่งเป็นกิเลสเลวร้ายประธานของกิเลสทั้งหลาย
การทำประโยชน์ผู้อื่นไม่ค่อยมีใครชอบเพราะเขาไม่มองเห็นว่ามันเป็นการทำประโยชน์ตัวอย่างสูงสุด ว่าที่จริงไอ้การทำประโยชน์ผู้อื่นเพื่อจะแลกเอาผลเอากำไรกลับมานั้นไม่ควรจะเรียกว่าทำประโยชน์ผู้อื่นนั้นมันเรียกว่าลงทุนค้ามากกว่า แต่เอาเถอะยอมผ่อนผัน มันทำประโยชน์ผู้อื่นเพื่อจะเอาอะไรตอบแทนมันก็ยังได้แม้จะไม่ดีนัก แต่ที่มันดีที่สุดเพราะคิดจะทำประโยชน์ผู้อื่นมันต้องทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่ส่วนหนึ่ง พอทำเข้าไปแหละมันก็ทำลายความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ เราก็ได้รับประโยชน์อันสูงสุดคือทำลายรากเหง้าของกิเลส
ผู้ที่เราทำประโยชน์ให้แก่เขายังไม่รู้สึกก็ได้ ยังไม่รู้สึกอะไรก็ได้ ไม่ได้รับ ยังไม่ได้รับอะไรโดยตรงก็ได้แต่ผู้ทำนี่ได้มากได้มหาศาล นั่นก็เป็นการพูด คนโง่มันก็จะเห็น เอ้! พูดกันนะทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรอกมันเป็นเรื่องพูดเท่านั้น ก็ตามใจสิมันไม่ ไม่มีใครจะห้ามกันได้ความคิดนี้ แต่ผมก็ยืนยันว่ามันเป็นอย่างนี้แหละก็อย่างนี้แหละลองดู การทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือการทำประโยชน์ตนอย่างยิ่งเพราะมันลดความเห็นแก่ตัว อุดมคติของพวกโพธิสัตว์มันจึงไม่มีทางที่จะผิดหรอก พวกโพธิสัตว์มันสอนกันแต่เรื่องทำลายประโยชน์ผู้ เอ่อ ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น
ช่วยเหลือผู้อื่นนั่นอุดมคติโพธิสัตว์ มันจะบรรลุนิพพานโดยการทำลายความเห็นแก่ตัวโดยวิธีนี้ มันจึงไม่ได้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอะไรอย่างกว้างขวางมหาศาลเหมือนกับว่าพวกอื่น พวกโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ตั้งหน้าว่ามันเป็นประโยชน์ผู้อื่นเท่านั้น ทำลายความเห็นแก่ตัวเรื่อยไปๆ มันจะบรรลุพระอรหันต์ได้หรือไม่เราไม่ยืนยัน เราไม่มามัวเถียงกันให้เสียเวลาแต่ว่ามันมีประโยชน์แหละมันลดความเห็นแก่ตัวแน่ ถ้ามันลดความเห็นแก่ตัวเรื่อยๆไปมันคงหมดสักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง เพิ่งจะเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานได้เหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่อุดมคติในฝ่ายเถรวาท อุดมคติฝ่ายเถรวาทไม่ ไม่ยืนยันเรื่องนี้ มันเป็นฝ่ายมหายาน ฝ่ายมหายาน
พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีอุดมคติโพธิสัตว์เรื่องช่วยผู้อื่นอย่างเดียว ฝ่ายเถรวาทคำว่าโพธิสัตว์มันกลายเป็นว่าบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า หลายอย่างหลายประการบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเขาเรียกว่าโพธิสัตว์ นี่คืออย่างแบบมหายานอย่างที่พวกเรานี่ ถ้าฝ่ายเถรวาทฝ่ายเหนือนั่นเขาโพธิสัตว์เขาจะช่วยผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีอะไรช่วยผู้อื่นเท่านั้น ช่วยคนสุดท้ายอธิษฐานจิตว่าถ้ายังมีคนมีความทุกข์เหลืออยู่สักคนหนึ่งเราจะยังไม่นิพพาน เราจะยังไม่ปรารถนานิพพาน ก็ช่วยไปเถอะช่วยไม่มีที่สิ้นสุดเพราะคนมันเกิดออกมาเรื่อย ถ้าโพธิสัตว์จะถืออย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่มีวันนิพพาน แต่มันก็คงจะมีประโยชน์ทางสังคมเยอะแยะถ้าว่าในโลกนี้มันมีคนแบบโพธิสัตว์ชนิดนั้น การช่วยเหลือผู้อื่นถูกมองเป็นเรื่องลบไม่ได้ เป็นเรื่องน่าระอาน่าเบื่อ ดังนั้น คนในโลกจึงไม่ค่อยช่วยเหลือกันเว้นไว้แต่เขาจะได้ประโยชน์ตอบแทน ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทโดยเรามองเห็นว่าโอ้ย! ไอ้ ไอ้เห็นแก่ตัวนั่นเลวร้ายนะ ไอ้ทางแก้ของมันก็คือเห็นแก่ผู้อื่นสิเห็นแก่ผู้อื่น เห็นว่าเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายหรือเป็นอะไรไปก็ได้ว่ามีความทุกข์อย่างเดียวกันกับเรา หรือเราใช้วิธีช่วยตัวเราทางอ้อม บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่นและทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วตัวก็หมดกิเลส อุดมคติของโพธิสัตว์ฝ่ายมหายานคงจะมุ่งหมายอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน
นี่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจแก่กันและกันจึงเอามาพูดเพื่อให้ทำความเข้าใจเป็นเรื่องที่ ๒ สำหรับจะเข้าใจกันเสียแต่บัดนี้ แล้วก็จะได้ถือเป็นหลักสำหรับประพฤติปฏิบัติต่อๆไปจนตลอดชีวิต ได้เท่าไรมันก็เท่านั้นแหละ แต่ถ้าทำให้ดีมันอาจจะได้มากได้หมดก่อนตายก็ได้ มันทำลายความเห็นแก่ตัวได้หมดสิ้นก่อนจะสิ้นชีวิตก็ได้ตอนนั้นเป็นกำไร มีชีวิตอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัวสบายที่สุด ไม่แบกตัว ไม่มีภาระหนักแก่ตัว ไม่มีตัวเป็นภาระหนักของตัวเพราะหมดความเห็นแก่ตัว ๒ เรื่องพอแล้ว
พูด ๒๐ นาทีปฏิบัติจนตายก็ไม่หมด ไอ้เรื่องธรรมะมันเป็นอย่างนั้นเอง พูดมัน พูด ๔-๕ นาทีปฏิบัติจนตายก็ไม่หมดหรือไม่ได้ ไม่ได้ก็ได้ แต่ควรจะทำความเข้าใจไว้ดีๆ ให้ดีๆ ให้มันมีการปฏิบัติเรื่อยๆออกไป เรื่อยๆออกไปจะได้รับผลตลอดเวลา จะจบสิ้นทันในชีวิตนี้หรือไม่ก็แล้วแต่ผู้ปฏิบัติมันเอาจริงหรือไม่เอาจริง นี่เป็นเรื่องที่ ๒ เรื่องที่ ๑ ว่าทำหน้าที่โดยไม่ต้องมีความทุกข์ หน้าที่คือชีวิต ชีวิตคือหน้าที่ ก็หมายความว่ามีชีวิตโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เรื่องที่ ๒ ว่าเราทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือทำประโยชน์ตัวเองอย่างสูงสุด เพราะมันย้อนมาทำลายความเห็นแก่ตัว การได้หมดความเห็นแก่ตัวคือนิพพาน ขอฝากไว้ให้เอาไปคิดไปนึกไปใคร่ครวญ จดไว้นั่นแหละดี ไม่จดไว้ไม่เท่าไรมันก็ลืมนั่นแหละวันหลังพูดเรื่องอื่นมันก็ลืมเรื่องที่พูดมาแล้ว แต่ถ้าจดไว้มันยังอยู่ในสมุดพลิกดูเมื่อไรก็ได้ แต่ละเรื่องๆมันมีความหมายมีความลึกลับของมันเอง เราก็จะสะดวกแหละจะมีหลักปฏิบัติง่ายๆ จดไว้ไม่กี่หน้ากระดาษแต่ว่ามันใช้ได้หมด ดังนั้นขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าคงเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้เต็มที่ตามความสามารถแห่งตนๆ ขอปิดประชุม