แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้จะได้พูดถึงกันถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ในฐานะเป็นเรื่องสุดท้าย
วันแรกที่สุดก็ได้พูดกันถึงเรื่องธาตุทั้ง ๖ เป็นพื้นฐานของสิ่งทุกสิ่ง และธาตุทั้ง ๖ ได้ปรุงได้กระทำให้เกิดเป็นอายตนะภายใน-ภายนอก อายตนะขึ้นมา ซึ่งให้มันมีการถึงกันและรู้จักกันเรียกว่าเรื่องอายตนะ แล้วต่อมาก็พูดถึงเรื่องขันธ์ทั้ง ๕ คือตัวชีวิต ตัวชีวิตที่มีอยู่ตามปกติ ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็คือเรื่องขันธ์นั่นแหละ จะขยายให้ไกลออกไปจนถึงกับเป็นความทุกข์ จะเห็นว่าความทุกข์ก็มีอยู่ที่ขันธ์ทั้งห้า นี้ขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นเป็นเรื่องที่เนื่องกันว่าธาตุให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดขันธ์ แล้วขันธ์ก็ให้เกิดอาการปฏิจจสมุปบาท ทุกอาการอยู่ที่ขันธ์นั่นเอง
เรื่องเหล่านี้ในระดับนี้เราเรียกกันว่า เรื่องชั้นปรมัตถะ ปรมัตถะ มันเป็น Ultimate เป็น Absolute จะเรียกว่า Law ก็ได้ จะเรียกว่า Truth ก็ได้ Ultimate Law, Ultimate Truth, Universal Law, Universal Truth เรียกในภาษาไทยว่า “ปรมัตถธรรม” ธรรมที่มีความหมาย มียิ่งลึก ก็ได้ ธรรมที่มีประโยชน์มาก ประโยชน์ลึกก็ได้ ก็เรียกว่า “ปรมัตถธรรม” เรากำลังพูดถึงปรมัตถธรรม
สิ่งที่เรียกว่าปรมัตถธรรม หรือธรรมะที่เรียกว่าปรมัตถธรรมนี่ โดยทั่วไปก็เป็นรากฐานของศีลธรรม ของ Morality ความรู้ในขั้นปรมัตถธรรมนี่เป็นรากฐานของศีลธรรม ฉะนั้น ศีลธรรมก็เป็นรากฐานหรือเป็นตัวของศาสนาต่อไป ฉะนั้นศาสนาจะต้องเรียกว่ามีปรมัตถธรรมนั่นแหละเป็นหลักสูงสุด แล้วก็ด้วยกันทุกๆ ศาสนาเลย
ทุกศาสนามุ่งหมายที่จะสร้างสันติภาพให้แก่มนุษย์ ก็มีกฎความจริงของธรรมชาติคือปรมัตถธรรมเป็นรากฐานของศีลธรรม ศีลธรรม การปฏิบัติศีลธรรมให้ครบถ้วนนั่นแหละคือเป็นตัวศาสนา ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นว่ามันเนื่องๆกันไป ปรมัตถธรรมเป็นรากฐานของศีลธรรม ศีลธรรมก็เป็นรากฐานของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา แปลว่าเราเรียนกันทีเดียวครบทุกเรื่องเลย
ศีลธรรมไหน หมวดไหน ประเภทไหนก็ตาม ถ้าไม่มีปรมัตถธรรมเป็นรากฐานที่ถูกต้องแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ มันต้องล้มละลาย คือเลิกไปแหละ ศีลธรรมระบบนั้น ศาสนาก็เหมือนกันถ้าไม่มีศีลธรรมที่ถูกต้องตามปรมัตถธรรมเป็นรากฐานแล้ว ศาสนานั้นก็ต้องเลิกไป ต้องเรียกว่ามันมีปรมัตถธรรมความจริงสูงสุดเด็ดขาดของธรรมชาติ เป็นรากฐานของศีลธรรม แล้วก็ของศาสนาขึ้นมาตามลำดับอย่างนี้
ดังนั้นเราจึงสรุปความได้ว่า ปรมัตถธรรมนี้เป็นความจริงอันสูงสุด ที่รู้แล้ว ที่รู้แล้วจะดับทุกข์ จะพ้นทุกข์ จะอยู่เหนือทุกข์นี้ทางหนึ่ง ปรมัตถธรรมช่วยให้รู้ความจริงจนอยู่เหนือทุกข์เหนือปัญหานี้ทางหนึ่ง และปรมัตถธรรมนี้จะเป็นรากฐานของศีลธรรม เพื่อจะเป็นรากฐานของสันติภาพในโลก ในหมู่มนุษย์ จะต้องมีปรมัตถธรรมเป็นรากฐานของศีลธรรม ศีลธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองโลกทั้งหมดให้มันมีสันติภาพหรือสันติธรรม
ประโยชน์ของปรมัตถธรรมจึงมีเป็น ๒ อย่าง คือ
ความจริงสูงสุดให้บรรลุธรรมะสูงสุดของแต่ละคน ส่วนบุคคล
ส่วนสังคม ส่วนทั้งหมด มันก็เป็นรากฐานของศีลธรรม มีศีลธรรมที่ถูกต้องมั่งคง แล้วก็ช่วยให้โลกทั้งโลกนี้มีสันติภาพ
จึงจัดได้ว่าเป็นความจริงสูงสุดช่วยให้หลุดพ้นด้วย เป็นรากฐานของศีลธรรมหรือสันติภาพของโลกด้วย
ทีนี้ก็ขอให้ลองมองดูซ้ำที่เรื่องธาตุทั้ง ๖ เรื่องอายตนะทั้งหก แล้วแจกออกไปเป็น ๖๐ ชนิด แล้วก็เรื่องขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ นี่ ถ้าเห็นเป็นธาตุ เป็นสักว่าธาตุ สักว่าอายตนะ สักว่าขันธ์ หรือสักว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ด้วยแล้ว มันมีผลสูงสุด คือทำให้เห็นได้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ใช่อัตตา สิ่งทั้งปวงไม่ต้องมีอัตตา ไม่ใช่อัตตาและก็ไม่ต้องมีอัตตา น
การเห็นว่าไม่มีอัตตา ไม่ใช่อัตตานี้ก็เป็นประโยชน์สูงสุดหรือจำเป็นอย่างยิ่งแก่มนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน เห็นอนัตตามีประโยชน์สูงสุดแก่มนุษย์ยุคปัจจุบัน คือจะทำลายความเห็นแก่ตัวหรือป้องกันไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นประโยชน์ของปรมัตถธรรมว่ามันทำลายความรู้สึกว่าอัตตา หรือทำลายความโง่ว่าอัตตา มันป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าอัตตา แล้วมันก็จะไม่เกิดความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว ไอ้โลกทั้งโลกก็มีสันติภาพ แล้วคนนั้นก็เป็นพระอรหันต์
ขอให้เราได้มีโอกาสมองดูสิ่งเลวร้ายที่สุดคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว สิ่งเลวร้ายที่สุด ที่โลกนี้กำลังจะวินาศ โลกนี้กำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้น เพิ่มมากขึ้น คนจนพื้นฐานก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีร่ำรวยก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว ประเทศมหาอำนาจประเทศใหญ่ ๆ ก็เห็นแก่ตัว ประเทศเล็กๆก็เห็นแก่ตัว มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มันจึงมีวิกฤตการณ์ สิ่งเลวร้าย Crisis ทุกชนิด ทุกชนิด มาจากความเห็นแก่ตัว
ดูไปอีกทางก็จะเห็นว่าทำลายธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติน่ะมากขึ้นก็เพราะเห็นแก่ตัว มลภาวะทั้งหลายเพิ่มขึ้นมาในโลกก็เพราะเห็นแก่ตัว ปัญหายาเสพติดเกิดขึ้นก็เพราะเห็นแก่ตัว คนเป็นบ้ามากขึ้นก็เพราะเห็นแก่ตัว คนฆ่าตัวเองตายมากขึ้นก็เพราะเห็นแก่ตัว ดูๆๆไปแล้ว ปัญหามันมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว นี่โลกกำลังจะวินาศในเมื่อความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้น ๆ ไม่มีหยุดอย่างนี้
มองอีกไปทางหนึ่งก็ว่า ความเจริญทางวัตถุ ก้าวหน้าทางวัตถุ หลงใหลทางวัตถุ บูชาความสุขทางวัตถุ จนกระทั่งมีอุตสาหกรรมส่งเสริมความก้าวหน้าทางวัตถุ ความก้าวหน้าทางวัตถุนี้แหละเป็นเครื่องส่งเสริมความเห็นแก่ตัวให้มากยิ่งๆขึ้นไป เรายิ่งหลงใหลความสามารถทางวัตถุเท่าไร ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มขึ้นในโลกและก็มากขึ้นเท่านั้นแหละ ฉะนั้นขอให้ระวังข้อนี้ว่า โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว
ถ้าโลกควบคุมความเห็นแก่ตัวไว้ไม่ได้ ยิ่งเจริญยิ่งๆขึ้นไปด้วยความเห็นแก่ตัว ในที่สุดโลกนี้ก็ต้องวินาศโดยไม่ต้องสงสัย นี่คือความจริงที่เราจะต้องรู้กันไว้
ทีนี้ส่วนตัวบุคคลแต่ละคนๆ ก็เห็นได้ชัด ว่ามีปัญหายุ่งยากลำบากอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว บังคับตัวไม่ได้ ก็ทำอะไรๆ ไปตามความเห็นแก่ตัว อาชญากรรมหรืออาชญากรมันก็เพิ่มมากขึ้นในโลก จนไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพ แม้แต่ผัวกับเมียก็ยังเห็นแก่ตัว และก็ยังทะเลาะกัน มันก็ไม่มีความสุข แม้ในส่วนบุคคล ในส่วนบุคคล
ทีนี้ก็มองดูไปถึงไอ้ยุคดึกดำบรรพ์ Immemorial Time ยุคดึกดำบรรพ์โน้น มนุษย์ได้เริ่มสังเกตเห็นข้อนี้ ว่าความเห็นแก่ตัวนี่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ แล้วเขาก็พยายามที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งระบบศาสนา ศาสนาทั้งหลายมันเกิดขึ้นมา ทุก ๆ ศาสนา ทุกๆ ศาสนาจัดได้ว่ามุ่งจะกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่ว่ามันวิธีมันก็ต่างๆ กัน เพราะว่ามันเกิดกันคนละยุค คนละสมัย คนละถิ่น คนละที่ มันก็มีวิธีต่างๆกัน ที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว จนกล่าวได้ว่าทุกศาสนามุ่งจะกำจัดความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ตั้งแต่ไม่รู้เมื่อไร ดึกดำบรรพ์มาทีเดียว
แต่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวนั่นมันมีมูลมาจากอะไร มีเหตุมาจากอะไร แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่ามีตัว มีตัว self self มี concept ของ self น่ะมากๆๆๆ ก็เกิดความเห็นแก่ตัว กำจัดด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องไปหาวิธีอื่นมาช่วยกำจัด เช่นให้พระเป็นเจ้าช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัวของตนเอย่างนี้ มันจะได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองดู ความเห็นแก่ตัวมันเกิดจากความโง่ของตัวเอง จะไปวานพระเจ้ามาช่วยกำจัดมันจะได้หรือไม่ได้
ทีนี้ทางศาสนาอีกทางหนึ่งก็เห็นว่า ความเห็นแก่ตัวมันมาจากความมีตัว ความมีตัว มีตัว เรากำจัดความมีตัวเสียเถิด ความเห็นแก่ตัวมันก็จะหมดไป ดังนั้น การกำจัดความเห็นแก่ตัวจึงเกิดขึ้นเป็น ๒ อย่าง คืออาศัยสิ่งภายนอกมาช่วยกำจัด นี่เพราะเขาเอาตัวไว้ เอาตัวไว้ ต้องเอาสิ่งภายนอกมากำจัด ทีนี้พวกหนึ่งว่า โอ้ มันมาจากภายในคือความมีตัว กำจัดความมีตัวเสีย กำจัดความมีตัวเสีย ความเห็นแก่ตัวก็จะหมดสิ้นไป นี่เราจึงเกิดมีศาสนาชนิดที่มีพระเป็นเจ้า และศาสนาที่ไม่ต้องมีพระเป็นเจ้าอย่างบุคคล มาช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัว ท่านจะเลือกเอาวิธีไหนก็ขอให้เลือกเอาเอง
ทีนี้เราจะพูดกันอีกทางหนึ่ง คือจะใช้คำว่าสิ่งสูงสุด Supreme Thing สิ่งสูงสุด ไม่ใช้คำว่า God และสิ่งสูงสุดชนิดที่เป็นบุคคลคือ God นี่จะช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัวได้หรือไม่ และ Supreme thing ที่ไม่ใช่บุคคลคือ Truth, Universal truth, Universal Law สิ่งสูงสุดนี้จะช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัวได้หรือไม่ ฉะนั้นเราจึงมีสิ่งสูงสุดชนิดที่เป็นบุคคลก็มี มิใช่บุคคลก็มี พุทธศาสนาอยู่ในพวกที่สิ่งสูงสุดมิใช่บุคคล แต่เป็น Truth หรือเป็น Law อย่างเช่น Law, Truth ของปฎิจจสมุปบาทที่เรากำลังจะพูดกันนี้ เป็นสิ่งสูงสุดที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัวโดยไม่ต้องมีพระเจ้าอย่างบุคคล แต่มีพระเจ้าอย่างเป็น Truth หรือเป็น Law นี่เราจะพูดกันเรื่องปฎิจจสมุปบาทในฐานะเป็นสิ่งๆ นี้ คือสิ่งสูงสุดที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวโดยไม่ต้องเป็นบุคคล
ถ้าใครอยากจะพูดว่าพุทธศาสนามี God ก็ได้เหมือนกันแหละ แต่ต้องเป็น Impersonal God ก็คือ Truth หรือ Law ของปฏิจจสมุปบาท ที่เรากำลังจะพูดกัน นี่เป็น God แต่เป็น Impersonal God ของพุทธศาสนา ฉะนั้นชาวฝรั่งเขาหาว่าพุทธศาสนาไม่มี God เพราะเขาลืมไปว่า God มันมีได้ทั้ง Personal และ Impersonal ถ้าจะให้พุทธศาสนามี God ก็ได้ ก็มีอย่าง Impersonal คือกฎของปฎิจจสมุปบาทที่เรากำลังจะพูดกันต่อไป กฎนี้คือ God ในพุทธศาสนา
ทีนี้เราก็จะมาดูกันถึงสิ่งที่เรียกว่าปฎิจจสมุปบาท ที่ใช้เป็น Truth หรือ Law ของโลก ของธรรมชาติ ของทั้งหมด ว่าจะกำจัดความทุกข์ได้อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามตั้งใจฟังให้เข้าใจให้ดีที่สุด ว่าปฎิจจสมุปบาทนั้นคืออะไร
เรื่องปฎิจจสมุปบาทนี้มีกล่าวไว้เป็น ๒ อย่าง คืออย่างเห็นได้ง่าย เห็นได้ตามธรรมดาของคนทั่วไปนี้ก็มี แล้วกล่าวไว้อย่างเห็นยาก เห็นเข้าใจยาก ต้องศึกษาเป็นพิเศษ อย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษก็มี มีอยู่เป็น ๒ อย่าง อย่างนี้ คืออย่างชนิดที่พอจะเห็นได้ง่ายๆ ตามธรรมดา กับที่ต้องศึกษาเป็นพิเศษจึงจะเห็นได้ ทั้งอย่างที่เห็นง่าย และอย่างที่เห็นยากนี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองทั้ง ๒ อย่าง พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่ว่าเรามาบัญญัติกันทีหลัง
อย่างที่เห็นได้ง่าย เห็นได้ง่ายทันที ก็คืออย่างที่ตั้งต้น Formula ขึ้นมาด้วยคำว่า อายตนะใน-นอกอาศัยกันก็เกิดวิญญาณ ก็อย่างเช่น
ตาภายใน รูปภายนอก มาถึงกันเข้าก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ หรือ Consciousness ขึ้นทางตา
นี้เรียกว่าท่านเห็นได้ ท่านมองเห็นได้ ต่อไปอีกนิดก็ว่า สิ่งทั้งสามนี้ทำหน้าที่ร่วมกันอยู่ เรียกว่าผัสสะ คือ Eye, Form, Eye consciousness สามอย่างนี้ทำหน้าที่ร่วมกันอยู่ เรียกว่า Contact หรือผัสสะ ท่านก็เห็นได้
แล้วก็เห็นได้ง่ายต่อไปว่า เพราะมี Contact ผัสสะ จึงมีเวทนา คือ feeling ท่านเห็นได้ชัดด้วยตัวท่านเอง
อย่างชนิดที่เห็นได้ยาก เข้าใจได้ยากนั้นน่ะ ไอ้ Formula มันตั้งต้นขึ้นมาด้วยคำว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป ท่านไม่เข้าใจได้เลยอวิชชาให้เกิดสังขารได้อย่างไร สังขารคืออะไรก็ไม่รู้ สังขารให้เกิดวิญญาณอย่างไรก็ไม่รู้ นี่มันเข้าใจไม่ได้ ยากที่จะเข้าใจได้ ต้องพยายามศึกษากันอย่างยิ่งจึงจะเข้าใจได้ ซึ่งเราก็จะพูดกันเหมือนกันในเรื่องนี้ แต่ขอให้เก็บไว้อีกทีหนึ่งก่อนว่านี้เป็นฝ่ายที่เข้าใจยาก ค่อยพูดทีหลัง พูดกันอย่างเข้าใจง่ายกันก่อน
ทีนี้ก็มาที่เข้าใจได้ง่ายเป็นลำดับไปว่า คนเรานี่ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างใน ธรรมชาติข้างนอกก็มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อยู่ข้างนอก พอมันถึงกันเข้าก็เกิดจักษุวิญญาณ อย่างนี้มันเป็นประจำวัน เป็นประจำวัน เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก เดี๋ยวทางนี้ เป็นประจำวันที่มันเกิดอยู่ ท่านไม่สังเกตนี่ ถ้าท่านสังเกตก็จะเห็นว่าอาการนี้มันมีอยู่ตลอดวันตลอดเวลา นี่เราจะต้องเห็นชัดกันจริงๆ อย่างนี้เสียทีหนึ่งก่อน
นี้เราก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วข้างนอกก็มี รูป เสียง กลิ่น รส มาถึงกันเข้าก็เกิดวิญญาณ สามอย่างนี้ทำงานอยู่ด้วยกัน เรียกว่าทำงานอยู่ด้วยกัน มีฟังก์ชั่นร่วมกัน นี้เรียกว่าผัสสะ เราก็มีผัสสะอยู่ทั้งวัน มีผัสสะอยู่ทั้งวัน ไม่ทางตาก็ทางหู ไม่ทางหูก็ทางจมูก คือทั้ง ๖ ทางนั่นแหละ เราก็มีทั้งวัน ท่านต้องมองเห็นชัดอย่างนี้ก่อน เรามีผัสสะทั้งวัน
เมื่อมีผัสสะ มันก็มีเวทนา คือ Feeling จะพอใจ หรือไม่พอใจ หรือว่ากลางๆ ก็ตามเถอะ ก็เรียกว่ามีเวทนา เวทนา มี Feeling อยู่ จากทุกสิ่งรอบด้าน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีผัสสะ แล้วก็มีเวทนา เวทนา เรามีเวทนาอยู่ตลอดเวลาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
ครั้นมีเวทนาเกิดขึ้นแล้ว จะพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม มันก็เกิดความอยาก ความต้องการ ไปตามความหมายของเวทนา
- ถ้าเวทนามันพอใจก็อยากจะได้ อยากจะเอา อยากจะมี อยากจะสะสม
- ถ้าเวทนานี้ไม่พอใจ เป็น Negative แล้วก็อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย หรือ
- ถ้ามันไม่แน่ว่าพอใจหรือไม่พอใจ มันก็ติดตามวิ่งตามอยู่ด้วยความสงสัย ความสงสัยวิ่งตามอยู่นี่ นี่เรียกว่าเวทนา
มันทำให้เกิดความต้องการด้วยความโง่ คือ Craving หรือ Desire ขึ้นมา นี่ Feeling ให้เกิดไอ้ความต้องการที่โง่ ๆ ขึ้นมา มีอยู่ทุก มีอยู่แทบตลอดเวลา จริงหรือไม่ ท่านเห็นเอง ท่านรู้เองไม่ต้องถามใคร ท่านต้องการอะไรกี่อย่างในวันหนึ่งๆ แล้วโง่หรือฉลาดท่านก็เห็นได้เอง นี่เวทนาให้เกิดตัณหาคือความต้องการ
และทีนี้ก็มาถึงตอนที่เข้าใจยาก เข้าใจยากสักหน่อย แต่ก็ไม่เกินไปหรอก เข้าใจได้ คือเมื่อเกิดความอยาก Craving หรือ Desire ขึ้นมาแล้ว มันก็เกิด Concept อันโง่ที่สุดขึ้นมาว่ามีตัวฉันผู้อยาก ตัวฉันผู้อยากน่ะเกิดขึ้น ตรงนี้เรียกว่า Attachment บ้าง Clinking บ้าง Mental grasping บ้าง Self หรือ อัตตา มันเกิดตรงนี้ มันเกิดตรงนี้ คือมันมีความอยากเกิดตามธรรมชาติ เป็น Mechanism ของธรรมชาติ เกิดความอยาก แล้วมันก็ให้เกิดความคิดหรือ Concept ว่าฉันผู้อยาก ตัวฉันน่ะผู้อยากมันก็เกิดขึ้นมา อันนี้กลายเป็นธรรมชาติ เป็น Instinct ชนิดหนึ่งไปเลย ช่วยไม่ได้ ถ้ายังโง่อยู่มันก็ต้องเกิดความคิดว่าฉันผู้อยาก สิ่งที่เรียกว่า Self หรืออัตตา มันตั้งต้นที่ตรงนี้ คือมาจากความอยากที่โง่เขลาเรียกว่าตัณหา ก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน คืออุปาทาน ตรงนี้น่ะจุดที่เริ่มเข้าใจยาก ขอให้เข้าใจจนได้ว่าถ้ามีความอยากแล้วจะต้องเกิดความโง่ว่ามีฉันผู้อยาก
พอมีความรู้ ความคิดนึกรู้สึกว่ามีตัวฉันผู้ต้องการ มีตัวเราๆ ขึ้นมาในใจแล้ว ตอนนี้ก็เรียกว่ามี Existence, Existence of self ตั้งต้นขึ้นมาๆ เรียกว่า ภวะ Existence or Concept of self ตั้งต้นขึ้นมา เปรียบเสมือนหนึ่งว่ามีครรภ์ล่ะ มันตั้งต้นมีครรภ์ ด้วยความโง่ ทำให้มีครรภ์ตั้งต้น Pregnancy ตั้งต้น แล้วมันก็แก่เข้า ๆๆๆ ตอนนี้เรียกว่ามีภวะ หรือ Existence of self ตั้งต้นๆ
ท่านจะต้องสังเกตให้ดีให้เห็นความจริงที่ว่า ผู้ต้องการ Self หรือผู้ต้องการเกิดที่หลังความต้องการ ฟังดูมันเป็น Illogic มันต้องมีความต้องการเกิดขึ้น รู้สึกต้องการในใจก่อน จึงจะเกิดความรู้สึกว่าฉันผู้ต้องการ ผู้กระทำน่ะมันเกิดที่หลังการกระทำ เด็กๆ มันก็สั่นหัว Illogic ไม่เชื่อ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น มันต้องเกิดความต้องการหรือการกระทำทางจิตใจเสียก่อน จึงจะเกิดความรู้สึกว่าฉันผู้กระทำอย่างนั้น นี่ตรงนี้แหละสำคัญที่จะเข้าใจยาก แต่ถ้าสังเกตศึกษาสักหน่อยก็เห็นได้ ว่า Self ไม่ได้มีอยู่จริง ไม่ได้มีอยู่ก่อน เพิ่งเกิดเมื่อมีการกระทำทางความคิด หรือการกระทำใดๆก็ตาม Doer มาทีหลัง Doing น่าหัวเราะ ไม่มีใครเชื่อ แต่ท่านต้องเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้
นี่ตอนนี้เข้าใจยากแต่ก็เข้าใจได้ ว่าความอยากทำให้เกิดความยึดมั่นว่า Self แล้วความรู้สึกอันนี้ก็ก่อตั้ง เหมือนกับตั้งครรภ์มากเข้าๆ และในที่สุดมันก็เป็น ชาติ Born ชาติ Born ออกมา เป็นตัวฉันตัวกูที่สมบูรณ์ เที่ยวทำนั่นทำนี่ไปตามแบบของมัน นี่เรียกว่า Existence ได้ทำให้ Born ออกมาเป็น Self โดยสมบูรณ์ Self ตัวตนโดยสมบูรณ์ มีตัวตนโดยสมบูรณ์เป็น Illusive เป็น Delusive ทั้งนั้นเลย
นี่ขอให้รู้สึกตัวเองไว้ว่า ถ้าเรายึดถือหลักวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนๆ Rationality ที่เรามีๆอยู่ เราไม่ยอมเชื่อว่าผู้กระทำน่ะมันเกิดทีหลังการกระทำ ต้องมีผู้กระทำก่อนจึงมีการกระทำ นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรื่องความลับความจริงในข้อนี้ ผู้กระทำมันเกิดที่หลังการกระทำ นี้เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของความรู้ที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า Self หรืออัตตา ว่าเป็น Delusive มาจากความโง่ ภายหลังแต่มีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้ว ข้อนี้ขอเน้นมาก ขอให้ท่านพยายามเข้าใจ พยายามเข้าใจ จุดสำคัญมันอยู่ที่ตรงนี้
เข้าใจชัดสักหน่อยหนึ่งว่า ชาติ ชาติ Birth หรือมันมี Born นี่ ไม่ใช่เกิดจากท้องมารดา ไม่ใช่ออกมาจากท้องมารดา มันเป็นเกิดโดย Mental หรือ Spiritual way แล้วก็เกิดเหมือนสายฟ้าแลบ แล้วเกิดวันหนึ่งเป็นร้อยๆครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้งก็ได้
Birth, Born ในที่นี้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้เกิดจากท้องแม่ เกิดโดยการปรุงแต่งทาง Mental ทาง Spiritual เราจึงมีความเกิดชนิดที่ลึกลับ ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ ถ้าเข้าใจได้แล้วก็เรื่องก็จะเข้าใจได้ ก็จะไม่มีปัญหา ขอให้รู้จักชาติ Birth ในที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้กันเสียก่อนเถอะ ว่ามันได้มีขึ้นมาแล้ว
เราใช้คำร่วมกัน คำเดียวกัน ใช้คำร่วมกัน แต่ความหมายคนละอย่าง Physical Birth, Mental Birth, Spiritual Birth ใช้คำว่า Birth, Birth ร่วมกันแต่ความหมายคนละอย่าง เข้าใจตรงนี้ให้ดีๆ ก็จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า Self, Self น่ะมัน มันเกิดขึ้นมาแล้วๆๆ พอมันเกิด Self ขึ้นมาแล้ว มันเป็นตัวตน ๆๆ ได้ ทีนี้ปัญหาจะมี ปัญหาจะมีเป็นความทุกข์
ถ้าเป็นการเกิดตามธรรมดา เราก็เห็นอยู่ว่าคนนี้เป็นพ่อ คนนี้เป็นแม่ และก็เกิดลูกออกมา นี่เกิดธรรมดา แต่ถ้ามันเกิดทาง Mental ทาง Spiritual อย่างนี้ ใครเป็นแม่ ใครเป็นพ่อ ท่านเข้าใจไหม ถ้าท่านเข้าใจท่านจะมองเห็นว่า ตัณหา Desire นี่ Craving นี่เป็นแม่ และอวิชชา Ignorance นั่นน่ะเป็นพ่อ พ่อกับแม่ถึงกันแล้วก็เกิดลูกออกมาเป็น Self เป็นความยึดถือว่า Self นี่ Self มันมีตัณหาเป็นแม่ มีอวิชชาเป็นพ่อ พ่อหรือแม่ชนิดนี้ต้องฆ่าเสีย พูดแล้วก็ฟังไม่ถูกเดี๋ยวจะตกใจว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่เสีย ถ้าพ่อแม่อย่างนี้เราไม่ฆ่า เราทะนุทถนอม เราบูชา แต่ว่าถ้าพ่อหรือแม่ชนิดที่เป็นตัณหาเป็นอวิชชาต้องฆ่าเสีย จึงจะดับความทุกข์หรือตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์
พ่อแม่ตามธรรมดาเกิดลูกออกมาก็เป็นลูก ก็เป็นลูกตามธรรมดา แต่ถ้าตัณหาอวิชชาเป็นพ่อแม่ เกิดลูกออกมาก็เป็น Self หรืออัตตา ออกมาเป็น Self หรือออกมาเป็นอัตตา อัตตา ซึ่งเป็น Delusive thing มันต่างกันมากน่ะ นี่ Material thing ออกมาเป็นลูกๆ อันนี้มันเป็นความรู้สึก เป็น Concept ว่า Self หรืออัตตา อัตตา อัตตาเกิดที่ตรงนี้ แล้วเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว รู้จักมันไว้ให้ดีๆ ว่ามันมีการเกิดอย่างนี้ แล้วมันมีปัญหาอย่างนี้
ทีนี้ปัญหามันไม่จบ พอมันเกิดออกมาเป็น self มีอัตตา มี self แล้ว เรายังมีความโง่เหลืออยู่เลย มันก็จะถือเอาทุกๆ อย่างที่มาเกี่ยวข้องกับ self นี้ว่าเป็นของ self, of self ขึ้นมา ภาษาบาลีเรียกว่า มีอัตตา มีอัตตา แล้วก็มีอัตตนียา สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับอัตตา ถ้ามีอัตตาแล้วก็มีอัตตนียา มี self แล้วมันต้องมี Of self, pertaining, concerning อะไรเกี่ยวกับ self นี้ขึ้นมาด้วย ฉะนั้นเราจึงมีอัตตาและอัตตนียา เราจึงมีตัวเราและของเรา มีตัวตนและก็มีของตน มันก็เลยเอาทุกอย่าง ทุกๆอย่างที่มาเกี่ยวข้องกับตนเป็นของตน นี่ปัญหาก็เกิดเป็นความทุกข์ เป็นเรื่องวุ่นวายไม่มีอะไรเหมือน มันเอาทุกอย่างมาเป็นของตน ในแง่บวกก็ได้ ในแง่ลบก็ได้ มันเอามาเป็นของตนหมด นั่นแหละความทุกข์มันตั้งต้นที่ตรงนั้น
ในภาษาไทยเราพูดง่าย พูดได้ง่าย เพราะเรามีคำว่า “กู” ใช้ ภาษาอังกฤษไม่มี ภาษาไทยมีคำว่า “กู” แล้วก็มี “ของกู” มันก็เลยมีตัวกู แล้วมันก็มีของกู ตัวกูคือ Self ของกูคือ Of self เงินทอง ข้าวของ บุตร ภรรยา สามี อำนาจ วาสนา เกียรติยศ ชื่อเสียง เอามาเป็น “ของกู” กระทั่งโลกทั้งหมดก็เป็นของกู เมื่อมีกูมันก็มีของกูนั่นน่ะ ความโง่หรืออวิชชามันมากถึงขนาดนั้น ทั้งหมดมาเป็นของกู ปัญหามันก็เต็มไปหมด มันก็มี Burden of Life เต็มไปหมด นี่ความทุกข์มันเกิดกันอย่างนี้ เพราะมันมีของกู มีตัวกูกับของกู ก็คือความทุกข์ทั้งนั้น
ท่านคงจะเห็นได้เองทันทีว่า เมื่อมันมีตัวกู มี Self แล้วมีของกู คือ Of Self แล้วไอ้ Selfishness มันก็เกิดขึ้นมาบนถิ่นนั้น Selfishness, Selfishness มากขึ้น ๆ ก็เป็นเหตุให้มีปัญหา ให้เป็นอันตรายตนเอง อันตรายทุกฝ่ายเพราะ Selfishness ถ้าเราไม่มี Self หรือ Of Self แล้ว Selfishness นั้นเกิดไม่ได้ ฉะนั้นพุทธศาสนาจึงต้องการจะทำลายไอ้ Self ความรู้สึกว่า Self ว่า Of Self นี่แหละเสีย เพื่อจะไม่เกิด Selfishness และปัญหามันก็หมดไป
ทีนี้เราก็ดูกันต่อไปถึงปฏิจจสมุปบาทที่เข้าใจยาก ที่ตรัสไว้อย่างเข้าใจยาก ปฏิจจสมุปบาทที่เข้าใจง่ายน่ะ ท่านเริ่มต้นตรงที่อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ตรงนี้ แล้วก็มีเรื่องไปอย่างที่ว่ามาแล้ว นี่อย่างเข้าใจง่าย ท่านรู้จักอายตนะดีก็เข้าใจได้ง่าย
ทีนี้อย่างที่เข้าใจยากนั้นน่ะ จะบอกไปถึงต้นเหตุว่าอายตนะเหล่านี้มาจากไหน นี่ตอนนี้จะเข้าใจยาก อายตนะที่จะมาเกิดวิญญาณ ผัสสะ เวทนา นั้นมาจากไหน มันตั้งต้นขึ้นมาของ Formula นี้ว่า อวิชชา ปัจจยา สังขารา คือว่าความไม่รู้ อวิชชา ความไม่รู้ State of being นั้นน่ะ ไม่ใช่ตัวจริง of lacking of wisdom นี่ เป็นอวิชชา อวิชชา ถ้าไอ้สิ่งนี้มี แล้วก็จะเกิดอำนาจ หรือ Power อันหนึ่งซึ่งเป็นการปรุงแต่ง เป็น Conditioning เป็น Concocting ที่จะปรุงแต่งๆๆ ถ้าอวิชชามี มันจะมีอำนาจปรุงแต่ง นี่เรียกว่าอวิชชาให้เกิดสังขาร อวิชชาให้เกิดอำนาจการปรุงแต่ง นี้คู่หนึ่งก่อน เข้าใจไปก่อน
ทีนี้ก็ถามต่อไปว่ามัน Condition อะไร มัน Concoct อะไร มัน Concoct อะไรขึ้นมา คือว่ามันไปเอาธาตุตามธรรมชาติ วิญญาณธาตุที่เป็นธาตุตามธรรมชาติ มา Concoct หรือมา Condition ให้เป็นวิญญาณทางอายตนะ วิญญาณที่เป็นธาตุตามธรรมชาติน่ะ ถูก Concoct หรือถูกอะไรก็ตามให้มาเป็นวิญญาณทางอายตนะ จึงเรียกว่าสังขารให้เกิดวิญญาณ การปรุงแต่งนั้นได้ปรุงแต่งวิญญาณตามธรรมชาติ ที่เป็นธาตุให้มาเป็นวิญญาณทางอายตนะ นี้เรียกว่าสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ เราจึงมีวิญญาณ คือฝ่ายจิตใจขึ้นมาก่อน มีวิญญาณกันก่อน อย่างเดียวก่อน
เมื่อวิญญาณสำหรับจะรู้สึกทางอายตนะเกิดขึ้นแล้ว มันก็หาที่ตั้งที่อาศัยก็คือร่างกาย มันหา Office สำหรับทำงาน มันจึงเกิดร่างกายขึ้นมาสำหรับให้วิญญาณอาศัย ฉะนั้นเราจึง มันจึงมีคำกล่าวต่อไปว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิด Mind and Body เพราะมีวิญญาณเที่ยวแสวงที่ตั้งที่อาศัย มันจึงเกิดที่ตั้งแห่งวิญญาณ คือร่างกายนี่ กายและใจจึงเกิดขึ้น วิญญาณเป็นปัจจัยให้กายและใจเกิดขึ้น นามรูปเกิดขึ้น
ขั้นต่อไปก็มีว่า นามรูปเป็นปัจจัยก็มีอายตนะ ก็มีกายกับใจ แล้วก็มีอายตนะทั้งหก อย่างที่เราพูดมาแล้วทีแรก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมีนามและรูปเป็นที่ตั้งแล้ว มันก็เกิดอายตนะทั้งหกขึ้นมา แล้วก็เป็นไปตาม Mechanism ของอายตนะทั้งหกที่เราได้พูดมาแล้วว่าเห็นได้ง่าย เห็นได้ง่าย ปฎิจจสมุปบาทที่เห็นได้ง่ายมันก็ตั้งต้นจากตรงนี้ไป คือจากอายตนะ
ปฎิจจสมุปบาทอย่างเข้าใจง่ายๆ เราตั้งต้นที่อายตนะที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทที่เข้าใจยากมันเอาอายตนะนั้นมาจากไหน มันเลยไปตั้งต้นลึกเข้าไป มันจึงเข้าใจยาก พอเข้าใจมาถึงอายตนะแล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องเดียวกัน ๆ เราตั้งต้นตรงที่เห็นได้ง่าย ๆ นี้ก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเราไปลึกเข้าไปที่เห็นได้ยากก็เป็นอีกอย่าง ปฏิจจสมุปบาทจึงเป็น ๒ แบบ แบบที่เห็นยาก เห็นยากมาก ๆ นั้นก็แบบหนึ่ง แล้วเห็นได้ตามธรรมดาๆ ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เรื่องนี้พระพุทธเจ้าสอนมากที่สุดว่า ปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นจุดตั้งต้นของการศึกษาของการปฏิบัติ
ทีนี้ประโยชน์ของการเห็นปฏิจจสมุปบาท มีความรู้มีความเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็คือการที่เราควบคุมกระแส ๆ Stream ของปฎิจจสมุปบาทไว้ได้ อย่าให้มันเป็นไปอย่างที่ว่า คือไปมีความทุกข์ อย่าให้มันไปมีความทุกข์ และให้มันหยุดหรือว่าให้มันเปลี่ยนเป็นไม่มีความทุกข์ เราจึงต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ให้ดี ๆ แล้วเราก็ควบคุมมันไว้ได้ด้วยสติปัญญาที่เราได้มาการปฏิบัติอานาปานสติ ถ้าเราปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จ เราก็จะมีปัญญาหรือความรู้เพียงพอที่จะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เราก็ไม่มีความทุกข์เท่านั้นเอง
การศึกษาของเราที่ Center ก็คือให้เรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท Natural truth ของปฏิจจสมุปบาท ครั้นรู้แล้วเราก็ควบคุมมันได้ด้วยสติปัญญาที่เราได้มาจากการปฏิบัติอานาปานสติ ดังนั้นเราจะต้องฝึกอานาปานสติด้วย แล้วก็เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทด้วย ฝึกอานาปานสติด้วย เอาความรู้จากอานาปานสติมาควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ถ้าท่านไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายใน ๑๐ วัน ท่านก็อย่าทิ้งเสีย ท่านก็ทำต่อไป ทำต่อไป กลับไปแล้วก็ทำต่อไป ๆ รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วควบคุมมันไว้ด้วยปัญญา สติที่ได้มาจากอานาปานสติ ขอให้ยึดการศึกษานี้เป็นหลักตลอดกาล ตลอดเวลา ตลอดกาล
ท่านจะต้องมองให้เห็นว่า โรงเรียนมิได้อยู่ ที่ Center ที่ Center ที่ท่านพักและศึกษา โรงเรียนไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ว่าโรงเรียนอยู่ที่ตัวชีวิต ตัวชีวิต ร่างกาย จิตใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในชีวิต โรงเรียนอยู่ที่นี่ ถ้าท่านไปไหนโรงเรียนมันก็ติดไปด้วย ถ้าท่านไปที่ไหน อยู่ที่ไหน โรงเรียนก็อยู่ที่นั่น ฉะนั้นขอให้ท่านเรียนต่อไป ศึกษาต่อไป ปฏิบัติต่อไป โดยชีวิตนี้เป็นโรงเรียน ศึกษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามวิธีที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ท่านก็รู้มากขึ้น ๆ แล้วท่านก็ทำอานาปานสติมากขึ้นๆ แล้วท่านก็ควบคุมมันไว้ได้ ในที่สุดท่านก็จะไม่มีความทุกข์ จะไม่มีความทุกข์ นี่ขอให้ตั้งใจอย่างนี้ และก็ตั้งใจทำอย่างแท้จริงอย่างนี้ และก็จะได้รับผลดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้รับ
แล้วท่านก็อย่าดูแต่ที่ร่างกายๆ ชีวิตของตัวท่านเอง ก็ดูภายนอกออกไปบ้างที่ร่างกายหรือชีวิตของ Partner, Partner ของท่านด้วย มันเหมือนกันแหละในนี้เป็นอย่างไร ไอ้ของ partner มันก็เป็นอย่างนั้น แล้วมันก็จะเข้าใจหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งหรือทุกหนทุกแห่ง ว่ามันมีปฏิจจสมุทปบาทอย่างไร แล้วมันก็ง่ายที่เราจะทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในการช่วยกันควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เป็นไปอย่างนี้ด้วยกันทั้งโลกแล้วก็ยิ่งดีที่สุด ดีที่สุด
ฉะนั้นถ้าถามว่าที่ไหนหรือเมื่อไร ที่ไหนหรือเมื่อไรก็ว่าทุกแห่ง ๆ และทุกเวลา กฎของปฏิจจสมุปบาทนี่ ถ้าไปใช้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต Inanimate นี่ ก็เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตาทั้งหมด ถ้าใช้กับสิ่งมีชีวิตรู้สึกสุขทุกข์ได้เรียกว่ากฎปฏิจจสมุปบาทก็คืออิทัปปัจจัยตานั่นแหละ เรียกรวม ๆ กันหมดเรียกว่าอิทัปปัจจัยตา แต่ถ้าเฉพาะสิ่งมีชีวิตเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้นเราจะเห็นทุกสิ่ง เห็นได้ในทุกสิ่ง เราจะต้องควบคุมในทุกสิ่งอย่าให้มันเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา นี่ความจำเป็นที่จะต้องรู้ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ ก็เป็นได้ในที่ทุกแห่งและทุกเวลา
ถ้าเราเห็นหรือรู้เรื่องธาตุทั้งหก เราก็เห็นอนัตตา เรารู้เรื่องอายตนะทั้งหมดๆ แล้วก็เห็นอนัตตา และรู้เรื่องเบญจขันธ์ทั้งห้าทั้งหมดแล้วก็เห็นอนัตตา เราเห็นปฏิจจสมุปบาททั้งหมด เราก็เห็นอนัตตา เห็นอนัตตา ความรู้ทั้งหมดนี้นำไปสู่การเห็นอนัตตา หรือจะเรียกอีกให้ละเอียดขึ้นไปอีกว่า ตถาตา ตถาตา มันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่ของตน ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อัตตนียา เห็นอย่างนี้แล้วไม่เกิด Selfishness เห็นอย่างนี้แล้วก็หมดปัญหา หมดปัญหา ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ได้
เห็นอนัตตา Not Self เห็นตถาตา Thusness อย่างนี้แล้วท่านก็จะอยู่เหนืออิทธิพล เหนือความหมายของ Positive และ Negative ไม่มี Positive และ Negative สำหรับท่านอีกต่อไป อย่างนี้เราเรียกว่า Emancipation หลุดพ้นจากปัญหา จากความทุกข์ทั้งปวง อยู่เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative นั่นแหละสูงสุด นั่นแหละคือสิ่งสูงสุด เดี๋ยวนี้เราอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Positive และ Negative จนกระทั่งถึงกับว่าเป็นทาส จนตกเป็นทาสของมัน เป็นขี้ข้าของมัน เราจึงมีความทุกข์ เราอยู่เหนือ Positive และ Negative เราก็หมดปัญหา นั่นจุดสูงสุดของพระศาสนามันอยู่ที่นั่น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีความทุกข์เลย ทั้งตนเองและผู้อื่น ขอให้สำเร็จประโยชน์ดังนี้ด้วยกันจงทุกคน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉันผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรมะ ฉะนั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือการเห็นพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้า แม้ว่าท่านจะมาประเทศไทยอย่าง Tourist ก็ขอให้ท่านกลับไปอย่าง Pilgrim, Pilgrim เต็มไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์แก่ชีวิต ขอแสดงความหวังว่าจงเป็นอย่างนี้ด้วยกันจงทุกๆคนเทอญ
ขอบพระคุณ เป็นที่เป็นผู้ฟังที่ดีมา ๒ ชั่วโมงแล้ว ๒ ชั่วโมงแล้ว ขอยุติการบรรยาย ขอยุติการบรรยาย ขอให้ท่านสำเร็จประโยชน์เต็มตามความมุ่งหมายในการที่มาศึกษากันจงทุก ๆคน เทอญ
ข้าพเจ้าขอบคุณท่าน ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าพเจ้า ขอบคุณท่านที่มาช่วยทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าขอบคุณท่าน ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าพเจ้า เพราะเป็นหน้าที่ หน้าที่ของข้าพเจ้า
ปิดประชุม
ที่มา ธรรมะบรรยายแก่คณะชาวต่างประเทศ 2533 ครั้ง 3