แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม จึงทำให้แก่ตัวเองก็ทำไม่ถูก เราทำให้ผู้อื่นก็ทำไม่ถูก ถ้าไม่ถูกหนักเข้ามันเบียดเบียนกันโดยตรงและโดยอ้อม เบียดเบียนกัน เบียดเบียนกันโดยตรงนั้นไม่ต้องพูดถึงนั่นล่ะ เป็นเรื่องทำอันตรายกันเลย แย่งชิง แข่งขัน โกรธเคือง เอาเปรียบกัน อะไรแบบนี้ ไอ้เบียดเบียนโดยอ้อมนั้นมันลึกซึ้งมาก เพียงแต่เราอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรนี่ก็เป็นการเบียดเบียนโดยอ้อมแล้วนะ เรามีชีวิตอยู่ในบ้าน ในเมือง ในโลก โดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้มันเหมาะสมนี่ก็เรียกว่าเบียดเบียนผู้อื่นโดยอ้อมนะ เพราะมันเกะกะคนอื่น กินของคนอื่น ทำให้คนอื่นพลอยลำบากเดือดร้อน ขาดแคลน ยิ่งถ้าเราทำไม่ดีด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งเป็นการเบียดเบียนใหญ่โต
คำนี้แหละสำคัญที่สุด ให้รู้ว่าเกิดมาทำไม ทีแรกมันก็รู้ แต่รู้นิดเดียว เด็กๆ ก็บอกได้ว่าเกิดมาทำไม แต่แล้วมันถูกนิดเดียว ยังจริงน้อย แต่อยู่ไปอยู่ไป อ้าว ก็เห็นว่า เออเกิดมามันมากกว่านั้น มากกกว่าแค่เด็กๆคิด อยู่มาจนเฒ่าจนแก่ก็รู้ว่ามากกว่านั้น เสร็จแล้วก็ยังไม่ถึงที่สุดก็ได้ เพราะคนเฒ่าคนแก่บางคนรู้อะไรน้อยก็มี ทีนี้เพื่อว่าให้คุณคิดได้ง่ายๆ คิดได้เร็วๆ ผมก็จะพูดบ้างตามความเห็นของผมว่าเราเกิดมาทำไม เพราะผมคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา คือ ถ้าว่าโดยส่วนตัวเรา เราเกิดมาเพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือถ้าพูดทางสังคม เราก็เกิดมาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันนั่นแหละ นี่เค้าให้ท่องไว้
โดยส่วนตัวเรานี้ เราเกิดมาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่คุณไปคิดดู อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คนโง่ คนเขลา คนพาล นั้นจะนึกได้แต่เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย อันนั้นน่ะดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และก็ไปหลงในสิ่งเหล่านั้น และก็แย่งกันสิทีนี้ แย่งกันเหมือนสัตว์แย่งอาหารนั่นก็เลยได้เบียดเบียนกัน นี่ก็เรียกว่าไม่รู้จักว่าอะไรดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
มันต้องความดี ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเจริญ ความมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ เราเกิดมาทีนึงหัวใจเต็มไปด้วยความรู้ ด้วยแสงสว่าง ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความสุขสงบเย็น นั่นแหละดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่ใช่เกิดมากินเหล้าเมายา สำมะเลเทเมา เค้าเรียกว่าเอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนัง ทางปาก ทางท้อง นั่นมันเป็นเรื่องโง่ที่สุด ต่ำที่สุด สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น สัตว์นรกก็ทำเป็น พวกเปรต พวกยักษ์ พวกอสูรกายอะไรก็ทำเป็น มันก็เลยไม่ดี ไม่ดีอะไร แต่ถ้าหัวใจสะอาด สว่าง สงบเนี่ย น้อยคน น้อยคนจะทำเป็น พวกยักษ์ พวกมาร พวกสัตว์เดรัจฉานอะไรทำไม่เป็นนะ พวกนี้มนุษย์ก็ยังน้อยคนจะทำเป็น
นั่นแหละสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันก็อยู่แค่นี้แหละ อยู่ที่เราเกิดมาที่นึงให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด อยู่แค่ว่าหัวใจของเรามีความสะอาด สว่าง สงบ เย็น คำว่าเย็นนะเป็นชื่อของนิพพาน ถ้าคุณไม่รู้ ก็รู้เสียทีเถอะ เพราะเพิ่งบวช เพิ่งอะไร ไม่รู้ รู้เสียทีว่าคำว่านิพพานนั้นแปลว่าเย็น ถ้าร้อนล่ะก็ไม่ เป็นวัฏสงสาร ถ้าเย็นล่ะก็เป็นนิพพาน บางเวลาเราร้อน มันเป็นวัฏสงสาร เป็นนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกายเสียก็มี แต่บางเวลาหัวใจของเราเย็นก็มีเหมือนกัน นั่นแหละเป็นนิพพาน แต่มันเย็นนิดเดียว เย็นครู่เดียว ก็เลยเป็นนิพพานเล่นๆ นิพพานชั่วคราว นิพพานจำลอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่เย็นเสียเลย ก็ขอให้รู้จักเย็นกันไว้บ้าง
พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคำสั้นๆ ได้ความว่านิพพานนั้นคือความที่อายตนะเป็นของเย็น คือความที่อายตนะเป็นของเย็น อายตนะนี่คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอยู่หก อายตนะหกนี่เป็นของเย็นเมื่อไหร่เมื่อนั้นเรียกว่านิพพาน แต่ถ้าเป็นของร้อนเมื่อไหร่ก็เรียกว่าวัฏสงสาร เป็นความทุกข์ เมื่อเราได้เห็นรูป ได้ฟังสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ถ้าเราทำผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ก็เลยเป็นวัฏสงสาร เป็นความทุกข์ ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นของร้อนไปทันที ถ้าเรามีสติ มีความรู้ มีสติสัมปชัญญะ ทำถูก พูดถูก คิดถูก มันก็เย็นสิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ยังเย็นไปตามเดิมนี่เป็นนิพพาน แต่นิพพานชนิดนี้ให้เป็นเรื่อยไป เรื่อยไป มากเข้า ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ให้เป็นนิพพานจริง นิพพานถาวรไปเลย เวลานี้เป็นนิพพานชั่วคราวก่อนก็ยังดี ให้เย็นมากกว่าให้ร้อน อย่าให้ร้อนมากกว่าให้เย็น
นั่นคุณไปคิดดูทุกๆองค์ว่าที่แล้วมาแต่หนหลังนั้น ถ้ามันร้อนมากกว่าถ้ามันเย็นล่ะก็มันยังใช้ไม่ได้ กลับกันเสีย ให้มันเย็นมากกว่ามันร้อน ถ้ามันเย็นเรื่อยๆๆไปจนมันไม่รู้จักร้อน มันก็เท่านั้นเอง มีเท่านั้นเอง เราก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือจิตใจก็สะอาดอย่างหนึ่ง สว่างอย่างหนึ่ง สงบอย่างหนึ่ง นี่โดยส่วนตัวเราเกิดมาให้ได้สิ่งเหล่านี้ คราวนี้โดยส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่น โดยสังคมนั้น เกิดมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันให้ไปด้วยกันอย่างดี คือช่วยเพื่อนกันให้ได้อย่างที่เราได้ นี่หน้าที่เพื่อผู้อื่น ช่วยเพื่อนมนุษย์กันให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้เหมือนกับที่เราได้ ส่วนตัวเราให้ได้แล้วจึงช่วยเพื่อนให้ได้ด้วย แล้วมันก็สบายสิ ก็เป็นโลกของพระศรีอาริย์ เป็นโลกของพระอริยเจ้า อยู่กันด้วยความสงบสุข สบาย นี่แหละสำคัญ ให้รู้ว่าเกิดมาทำไมให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วพยายามให้ได้ตามนั้นแหละ อดกลั้น อดทนถึงจะได้ มันมีกิเลส มาลากมาจูงไปทำเลวทำชั่ว ทำให้ผิดความประสงค์อันนี้ ถ้าเราไม่อดทนไม่ต่อสู้แล้วไปทำกับมัน ไปทำเพราะกิเลสก็เลยทำความร้อนใส่ตัวเอง ทำความร้อนใส่ผู้อื่น เป็นวัฏสงสาร เป็นคนทรมานกันไปหมด เราก็รู้จักบังคับตัวเอง อดทน มีสติปัญญาแก้ไขอยู่เรื่อย ให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้จนได้
เอาแล้วทีนี้คุณเข้าใจขั้นกว้างเอาไว้นะ ว่าการที่เรามีวัด มีวา มีศาสนา แล้วมีวัดมีวานี้เพื่ออะไร เพื่อสิ่งนี้แหละ มีพระพุทธเจ้าก็เพื่อให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ พระพุทธเจ้าสอนให้ มีวัด มีวา มีศาสนาของพระองค์ก็เพื่อให้เราได้สิ่งเหล่านี้แหละ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นี่ คุณอย่า อย่ามองข้ามเสียหมด ก็เป็นว่าเราเกิดมาเพื่อได้สิ่งเหล่านี้ เพื่อได้พบได้เห็นสิ่งเหล่านี้ และได้ผลจากสิ่งเหล่านี้ นั่นแหละ
มันมีเรื่องนิดเดียวเท่านั้น ว่าเกิดมาทำไม แล้วคุณก็มาบวชในศาสนานี่ก็เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้เร็วเข้า อ้าวนี้ถ้าว่าสึก หรือว่าเลิก สึก ก็เพื่อบวชแล้วรีบเรียนให้รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้แล้วถึงสึกออกไปก็ยังคงทำไปตามเดิมนั้นแหละ แต่ว่าทำไปช้าๆ คนที่บวชอยู่ที่วัด กับคนที่อยู่ที่บ้านต้องทำเหมือนกันแหละคือทำให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แต่พวกที่อยู่ที่บ้าน ฆราวาสทำได้ช้า เพราะต้องทำมาหากิน ต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงเมียอะไร มัน ภาระมันมาก มันก็ทำได้ช้า ทำได้น้อย ทีนี้เป็นพระอยู่ที่วัดก็ได้มาก ทำได้เร็วเพราะไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ว่าโดยความมุ่งหมายแล้วเหมือนกันหมด
ฆราวาสเกิดมาแล้วต้องให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คืออายตนะเป็นของเย็นนี่แหละ ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นของเย็นเนี่ยแหละ อยู่ที่บ้านก็ต้องปรารถนาแบบนั้นแหละ ที่นี้อยู่ที่วัดก็ต้องปรารถนาอย่างนั้นแหละ แต่ว่าปรารถนาได้ง่าย ปรารถนาได้เร็ว ปรารถนาได้ก่อน มันเห็นได้ทีเดียวว่าทั้งวัดทั้งบ้านนั้นเป็นเพื่อนกันไป เป็นเพื่อนเดินทางบากหน้าไปทางเดียวกันแหละ ไปหาความเย็น ไปหาความสงบสุข ไปหาพระนิพพาน ไปหาสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั่นเอง
ผมได้มีโอกาสพูดกับคุณในข้อนี้ ผมก็ดีใจ ผมไม่ดีใจในเรื่องอื่นนอกจากจะดีใจในเรื่องที่ได้พูดกันกับเพื่อนมนุษย์ถึงเรื่องที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ผมจึงบอกว่ายินดีที่คุณว่าจะมา และมาแล้ว และได้มาพบกันแล้วนี้ เป็นความยินดี ขอแสดงความยินดี และขอให้การได้พบกันนี้นะ มันได้เป็นโอกาสกับผมได้พูด กับคุณจะนึกได้ และจะปฏิบัติตาม แล้วผลที่สุดทุกๆคนก็จะใกล้จุดหมายปลายทาง เขาเรียกว่าใกล้พระนิพพานน่ะ ใกล้จุดหมายปลายทางคือใกล้ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือว่าต่อไปให้เป็นคนที่มันเย็นมากขึ้น ร้อนน้อยลง เย็นมากขึ้น ร้อนน้อยลง จนเย็นที่สุดได้
ขอให้ทุกคนอธิษฐานและภาวนาว่าให้เราทุกคน ทั้งเราและทั้งเพื่อนมนุษย์ของเรานี่ เย็นมากขึ้น ร้อนน้อยลง เย็นมากขึ้น ร้อนน้อยลง พอค่ำก็พูดแบบนี้แหละ พอตื่นรุ่งเช้าก็พูดแบบนี้แหละ พูดทั้งเช้าทั้งเย็นทั้งกลางคืน ว่าให้มันร้อนน้อยลง ให้มันเย็นมากขึ้น ทั้งเราเองและทั้งเพื่อนของเรา ทุกคนให้ถือว่าเป็นเพื่อนของเรา เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ศัตรู
ไอ้ศัตรูนั้นมันโง่ไป มันมีกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ไปล่วงเกินกันนิดๆ หน่อยๆ แล้วมันเข้าใจผิด คิดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นศัตรูกันตลอดชีวิต นั่นมันโง่ดักดาน
ที่จริงที่มันทะเลาะ มันรบ มันขบกันนั้นมันไม่ใช่เรา มันคือกิเลสของเรา คือผี ปีศาจ ยักษ์ มาร อะไรกัน มาสิงเราชั่วขณะ ไอ้นั่นแหละ ได้รบ ได้ขบกัน ได้ทะเลาะกัน ถ้าว่าเราเป็นมนุษย์แท้จริงแล้วมันไม่รบกันได้ เพราะหัวใจมันดี หัวใจมันสูง แต่บางคราวมันเผลอไป กิเลสที่เป็นผี ปีศาจ มันสิงเอา ความโลภ ความโกรธ ความหลงอะไรก็ตามนี่ มันทำให้เข้าใจผิด ให้มันไปทะเลาะวิวาทกันเข้า แล้วมันขยายให้ใหญ่ ขยายให้เขื่อง ให้โลภมาก โกรธมาก หลงมาก ให้นึกศัตรู จองเวรกันตลอดชาติ นั่นมันโง่ดักดาน ไอ้นั่นมันไม่ใช่เรา เอามาเป็นเราได้ มันเป็นผี มันไม่ใช่เรา ต้องตัดทิ้งไปให้เหลือแต่เรา ให้รู้จักคิดจักนึก ให้เป็นมนุษย์
เราเป็นมนุษย์ มนุษย์แล้วหัวใจสูง หัวใจสูงนี่เพราะเป็นเหล่ากอของคนหัวใจสูง เขาเรียกพระมนู หัวใจสูง มนุษย์คนแรกที่ดีที่สุดนะ มนุษย์ทุกคนออกมาจากพระมนู ลูกหลานพระมนู แล้วหัวใจสูง นั่นเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นหัวใจต่ำล่ะก็ไม่ใช่เลย ไม่ใช่มนุษย์เลย พวกนั้นเป็นผี ปีศาจ เลย ก็มีหน้าที่ทำความร้อน ถ้ากิเลสมันสิง เป็นภูติผีปีศาจและก็มีหน้าที่ทำความร้อน ทำความทุกข์ ทำให้วัฏสงสารยืดยาว ถ้าเป็นมนุษย์มีแสงสว่าง มีสติปัญญาก็รู้จักทำความเย็นให้เป็นนิพพาน แล้วก็สบาย แล้วก็เย็น เพราะฉะนั้นระวังให้ดี บางเวลาผีสิง กิเลสครอบงำ เมื่อนั้นไม่เป็นมนุษย์ มันจะเบียดเบียนกัน เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนผู้อื่น ให้ร้อนเป็นไฟเลย รีบสลัดปัดทิ้งเลย มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เกี่ยวกะเรา ไอ้นี่มันเรื่องบ้า เรื่องผี เรื่องโง่ เรื่องหลง ทำใจคอให้ปกติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีใจสูง รู้เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องสุข เรื่องทุกข์ แล้วก็ให้อภัยกันได้ ยกเลิกกันได้ ที่ผิดผ้องหมองใจ เลิกกัน ดีกันได้ เหลือแต่ความรักใคร่สามัคคี ทำให้ดี ทำให้เยือกเย็น เป็นสุขได้ ก็เป็นนิพพานขึ้นมาทันที
ขอให้นึกข้อนี้ เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เกิดมาเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือให้ได้เป็นมนุษย์มีจิตใจ สะอาด สว่าง สงบ นี่แหละ เกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ แล้วปัญหาหมด ทำอะไรถูกหมด ไม่มีการเบียดเบียน เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่เกิดมาเอาสิ่งที่เลวที่สุดคือการเบียดเบียน สิ่งที่เลวที่สุดคือการเบียดเบียน การเบียดเบียนมาจากเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนั้นเป็นกิเลส
กิเลสมันเป็นผี มาเป็นคราวๆ มาสิงเป็นคราวๆ ไม่ได้อยู่ประจำ เกิดขึ้นเพราะว่าความโง่ อวิชชาและก็เป็นผีสิงชั่วคราวๆ ทำผิดทำชั่วมีความทุกข์ความร้อน หลายสิบชาติหลายร้อยชาติก็ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ไม่รู้จักไม่ทำ ทีนี้เรารู้จักไม่ทำเสียเร็วๆ ดีกว่า ทำผิดครั้งนึงเรียกว่าชาตินึง ทำผิดครั้งนึงเรียกว่าชาตินึง ถ้าหลายๆเดือนหลายๆปี นี่หลายร้อยชาติหลายพันชาติ เรารีบปรับตัว รีบทำให้ถูกเสีย ก็เลยกลายเป็นเย็นแทนร้อน
ถ้าว่าจะจำง่ายๆแล้วก็ว่าเห็นแก่ตัวแล้วก็เป็นภูติผีปีศาจเลย ถ้าเห็นแก่พระธรรม เห็นแก่ความจริง ความดี ความถูกต้องแล้วก็เป็นมนุษย์ ก็คือไม่เห็นแก่ตัวนั้นแหละ ก็ต้องเห็นแก่พระพุทธเจ้า เห็นแก่พระธรรม เห็นแก่พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างไร พระธรรมต้องการอย่างไร พระสงฆ์ต้องการอย่างไร เราต้องเห็นแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมันก็เลยไม่เห็นแก่ตัวสิ ก็เลยทำดี ถูกหมดทั้งการทำ การพูด การคิด มันถูกหมดแหละ ถ้าเรามันเกิดเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ เนื้อหนังอร่อยทางปากทางท้องของตัว ไม่เห็นแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ไม่เป็นคนสิทีนี้ ไม่เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ชนิดไหนก็ไม่รู้ แล้วแต่จะเรียก มีแต่ความทุกข์ แล้วสกปรกที่สุดเลย
พระบาลีมีอยู่ข้อนึง ในกระทู้ธรรมก็มี อัตตัตถะ ปัญญา อะสุจี มะนุสสา อัตตัตถะ ปัญญา อะสุจี มะนุสสา คุณคอยฟังให้ดี จำให้ได้ อัตตัตถะ ปัญญา อะสุจี มะนุสสา แปลว่าผู้ที่มีปัญญาแต่เรื่องประโยชน์ของตนเป็นมนุษย์อสุจิ อสุจิแปลว่าไม่สะอาด แปลว่าสกปรก อัตตัตถะ ปัญญา อะสุจี มะนุสสา ผู้ที่มีปัญญาแต่ประโยชน์ของตัว เป็นมนุษย์อสุจิ มนุษย์สกปรก อย่าได้เห็นแก่ตัว อย่าได้เห็นแต่ประโยชน์ของตัว นั่นเป็นเรื่องของกิเลส ให้เห็นแก่พระธรรม ให้เห็นแก่พระศาสนา แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วจะได้ไปนิพพาน ถึงแม้ว่าเรารักตัว รักตัว พอใจในตัวของเรา จะต้องมีความเห็นแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าเห็นแก่กิเลสของตัว เขาเรียกว่าไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่พระพุทธเจ้า เห็นแก่พระธรรม เห็นแก่พระสงฆ์ ก็เป็นมนุษย์สะอาด มีความสุข มีความเจริญงอกงาม
ระวังปัญญาที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว ขอให้มีปัญญา คิดแค่ทำลายความเห็นแก่ตัวให้สมกับความมุ่งหมายที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อยากได้เกินไปก็เพราะเห็นแก่ตัว ไปโกรธผู้อื่นก็เพราะเห็นแก่ตัว ไปโง่นั่นโง่นี่ก็เพราะเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นเลิกความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว ไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เกิดไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้
ขอให้เราตั้งหน้าตั้งตา อธิษฐานจิต ภาวนาแต่เรื่องจะเกิดมาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือความเย็น ไม่มีความร้อน ด้วยการทำลายความเห็นแก่ตัวเสีย ถ้าไปเห็นแก่พระธรรม แก่พระศาสนา แก่ความดี ความจริง ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรม อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่กิเลสของตัว อย่าเห็นแก่ปากแก่ท้องของตัว มันจะไปทำชั่ว ทำสกปรก ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ถ้าเคยทำมาล่ะก็มาเสียใจให้มาก ทีหลังจะได้ไม่ทำอีก เรื่องทำผิดทำชั่วอะไรต่างๆ จะได้เสียใจ และจะไม่ทำอีก ระหว่างบวชคิดแต่เรื่องอย่างนี้ สึกอออกไปมันก็จะดี ถ้าได้อยู่ต่อไปมันก็ก้าวหน้าเร็วไปในทางของพระนิพพาน ขอให้ทุกๆองค์มีความตั้งใจในข้อนี้ ให้สุดความสามารถของตัว ว่าเกิดมาทีนึงให้ได้บุญที่สุดที่ได้บวช และให้ได้บุญที่สุดในทางที่ได้พบสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั่นเองล่ะ ก็เรียกว่าได้บุญที่สุดในการเกิดมา ขอให้ความปรารถนาอันนี้ จงประสบผลมีความเจริญงอกงามในทางของพระศาสนาจงทุกๆคนเทอญ
ทีนี้เรื่องสวนโมกข์ จะพูดให้ฟัง ทีนี้นอกเรื่องนะ เบ็ดเตล็ด คุณจะได้รับประโยชน์จากสวนโมกข์ ไปเที่ยวเดินให้ทั่ว ไปดูภาพในตึกนั้น ไปดูภาพกับปั้นที่โรงปั้น แล้วก็ให้ได้รับความรู้ที่ดีที่สุดว่าเราจะมีความเย็นอกเย็นใจก็ต่อเมื่อเราไม่มีอะไรเป็นของเรา คือไม่เห็นแก่ตัวอีกนั่นแหละ พอเรานึกว่ามีอะไรเป็นตัวเรา มีอะไรเป็นของเรา มันก็หาเย็นไม่ นี่ต้นไม้ต้นลายทั้งป่านี้มันช่วยให้ลืม มันช่วยให้ลืมตัวกู ให้ลืมของกู มันก็เกลี้ยงเกลาไปตามธรรมชาติ มันก็เลยสบายสิ มาศึกษาข้อนี้ พอเข้ามาในที่แบบนี้ถึงรู้สึกสบาย ให้รู้เสียก่อนว่าเออมันสบาย แล้วจึงค่อยรู้ต่อว่าสบายเพราะเหตุใด สบายเพราะที่นี่มันไม่เกิดตัวกูของกู มันไม่ชวนให้เกิดความคิดนึกว่าเป็นตัวกูของกู มันหยุดไปชั่วคราว เลยสบาย เราก็เลยได้ความรู้แท้จริงว่า เฮ้ย ความเป็นสุขที่สุดนั้นมันอยู่ที่มันไม่มีตัวกูของกู จิตกำลังว่างจากตัวกูของกู มีแต่สติปัญญา มีแต่ความสะอาด ความสว่าง สงบ มันสบายนะ
ระหว่างที่เดินอยู่ตามในป่าทั่วๆ วัดนี้ก็พยายามเถอะ สังเกตหัวใจของเราว่ามันเย็นเพราะเหตุไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เนี่ยธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาเรียนได้ชั่วเวลาเล็กน้อยจากธรรมชาติ จากหนังสือเรียนไม่ได้ จากหนังสือหนังหา ตำรับตำรา เรียนไม่ได้ เรียนข้อนี้ไม่ได้ เล่าเรื่องก็ได้ แต่ว่าเรียนจริงๆไม่ได้ เพราะต้องทำให้ใจมันแบบนี้เสียก่อน ต้องมาในที่แบบนี้ ให้ใจมันเย็นแบบนี้เสียก่อนโน่น อ่านหนังสือมันทำไม่ได้ มันต้องเวลาที่มันไม่เกี่ยวกับหนังสือ มาหาธรรมชาติที่สงบ แวดล้อมจิตใจให้สงบ จิตใจเย็น สบาย เราดูเข้าไปในจิตใจที่มันเย็นสบาย อ้าว มันว่างจากตัวกูของกูเว้ย รู้ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา ในธรรมชาติสอนให้ ทีนี้ไปดูหนังสือ มันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละ แต่หนังสือมันทำให้ใจเย็นแบบนี้ไม่ได้ มันไม่เหมือนกับธรรมชาติ ไปดูรูปภาพเนี่ยนะ มันก็เหมือนกันอีกแหละ มันก็เรื่องเดียวกันแหละ เค้าเขียนมาตามเรื่องเดียวกัน แต่มันทำให้ใจเย็นเหมือนกับแบบนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นคุณจงพอใจต้นไม้ต้นลาย ก้อนหิน ก้อนดิน กลางทรายอะไรพวกนี้ เมื่อตะกี้บอกแก่คนตรงโน้นว่านั่งกลางทรายนี้ดี มันหมดตัวกูของกูง่ายกว่านั่งบนพรม บนอาสนะ บนบ้าน บนเรือนนะ พระพุทธเจ้าประสูติกลางพื้นดินนะ นี่แหละต้องบอก พวกเราเรียนนักธรรมก็รู้ทั้งนั้นว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่สวนลุมพินี มันกลางดินนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำเนรัญชรา มันก็กลางดินนะ หญ้าคา 2-3 เส้น สักกำมือนึงรองนั่ง มันก็กลางดินนะ เพราะว่าหินมันแข็งนัก อย่าให้มันเจ็บ เจ็บนัก ก็รองหญ้าคาให้ กลางดินนะ ไม่ใช่บนเบาะ บนอาสนะ บนบัลลังค์ อะไร ไม่ใช่ ที่เค้าเรียกว่าบัลลังค์นั้นเค้าเรียกให้มันโก้เท่านั้นแหละ จริงๆมันกลางดิน หญ้าคารองบางๆ เท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้านิพพานก็กลางดิน ปูสังคาติ 2-3 ชั้นรองเท่านั้นนะ นั่น
ส่วนมากก็พระพุทธเจ้าอยู่กลางดิน นี่เรามันชอบอยู่แต่บนที่ ชอบนอนแต่บนเตียง มันก็เลยไม่เกิดความคิดนึกอย่างเดียวกัน ว่านั่งกลางดินได้บุญมากกว่านั่งบนอาสนะ หัวใจมันนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ง่าย รู้จักหัวใจของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไรได้ง่าย คือไม่ยึดถือ ไม่มานะ ไม่ทิฐิ ไม่มีกิเลสนั่นแหละ ไปตามธรรมชาติเลย เพราะฉะนั้นอย่าว่าผมใจจืดใจดำไม่ให้นั่งอาสนะอะไรนี่ ความจริงมันก็ไม่ค่อยจะมีด้วยแหละ ที่ไม่ค่อยจะมีนี่ก็เพราะไม่คิดสะสมอะไรเรื่องอาสนะ คิดว่านั่งบนทรายนี่มันได้ประโยชน์มากกว่า ได้บุญมากกว่า ได้ความฉลาดมากกว่า ได้อะไรมากกว่าไม่เคยคิดจะสะสมไอ้เรื่องเครื่องอาสนะ ถ้าฝนไม่ตก นั่งกลางทรายได้ นั่งกลางทรายดีกว่า คุณพยายามทำบ้าง ถึงไม่ทำตลอดชีวิตก็ทำบ้าง นั่งกลางดิน อยู่โคนไม้ กินข้าวจานแมวในบาตรหรือว่าอยู่ตามธรรมชาตินี้มันควรจะทำบ้าง ให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่อย่างนั้น ท่านมีจิตใจอย่างไรในการที่อยู่อย่างนั้นแล้วเราก็รู้ตามพระพุทธเจ้าได้ง่ายสิ เรารู้ตามหลังพระพุทธเจ้าไปได้ง่าย
พยายามชอบธรรมชาติ ต้นไม้ต้นลาย ภูเขา ทะเล หรือ อะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติล้วนๆ น่ะ แต่ว่าทะเลนี่ไม่พูดถึงก็ได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นทะเล เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามันไม่มีว่าไปชายทะเลเลย พระพุทธเจ้าก็ได้ยินเรื่องทะเลก็ตามที่เขาพูด แต่ว่าอยู่ในป่า ตามภูเขา ตามต้นไม้ ตามในป่า เราก็พยายามอยู่กับธรรมชาติเหมือนพระพุทธเจ้าเคยอยู่เสียบ้าง นี่ผมก็จัดสวนโมกข์ให้มันคล้ายๆแบบนั้น ไม่ทำให้มันผิดไปจากธรรมชาติมากมาย นอกจากที่จำเป็น แต่ทั่วไปแล้วก็ให้มันอยู่แบบนี้แหละ พอเข้ามาถึงมันช่วยแหละ มันช่วยเปลี่ยนหัวใจเรา ให้เปลี่ยนไปในทาง หยุด ว่าง สงบ สะอาด ไม่เห็นแก่ตัว นี่มานั่งกับพวกแบบนี้มันหยุดความเห็นแก่ตัวนะ พอเข้าไปในตลาดในอะไรโน่น มันเกิดการเห็นแก่ตัว อยากได้นั่น อยากได้นี่ จะเอาแบบนี้ จะเอาแบบนี้ ไม่ได้อย่างใจ โกงกันเลย สังเกตข้อนี้ให้มาก
ก็จัดสวนโมกข์ด้วยความประสงค์อย่างนี้ คราวนี้วันนี้มาเที่ยวในสวนโมกข์ ก็ขอให้ได้ประโยชน์จากอันนี้ ทุกหนทุกแห่งทั่วไปทั้งวัด จัดมุ่งหมายให้เป็นธรรมชาติ ให้ธรรมชาติแวดล้อมจิตใจผู้มาเที่ยวให้หยุด ให้ว่าง ให้สะอาด ให้สงบ ไปดูที่โรงปั้น เรื่องพระพุทธเจ้าเค้าไม่แสดงโดยตัวรูปร่าง แสดงด้วยความว่าง ตรงนั้นมีสระมะพร้าวนาลิเก ต้นมะพร้าวอยู่กลางสระ ต้นมะพร้าวอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง เราไม่จมอยู่ในกองทุกข์ ทะเลขี้ผึ้งนั้นหมายถึงกองทุกข์ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น ต้นมะพร้าวมันโผล่ขึ้นหลุดพ้นกลางทะเลขี้ผึ้ง มันไม่จมอยู่ในทะเลขี้ผึ้ง เพราะฉะนั้นจิตของเราก็อย่าไปจมอยู่ในกองกิเลส โผล่ขึ้นให้ได้อย่างนั้น นี่ผมจัดสถานที่ทั่วไปทั่วๆ วัดให้มันมีความหมายแบบนี้แหละ คุณมาจะได้รับประโยชน์ ถ้าผมจะไม่บอกเสียเลยก็อาจจะไม่รู้ อาจจะไม่รู้ความมุ่งหมาย อาจจะไม่รู้จักถือเอาประโยชน์
อันนี้บอกให้รู้ ว่าไม่ใช่ต้องมาทุกวัน มาที่แบบนี้ แต่มาสักทีนึงแล้วให้มันติดใจไป คือให้มันมาได้พบของใหม่ที่เย็น แล้วสนใจ แล้วก็สะดุดใจ แล้วเข้าใจ แล้วพากลับไปบ้าน ไปเย็นที่บ้านได้อีกนาน พอร้อนนักก็วิ่งเข้าป่าทีนึง ไปสำรวม ไปสังเกต ไปล้าง ล้างไอ้ร้อนๆ แล้วพอเย็นก็กลับไปบ้านอีกก็อยู่ได้นานๆ ทำบ่อยๆ เข้ามันร้อนยาก มันเย็นง่าย นี่แหละประโยชน์ของวัดป่า พระเถื่อน อยู่อย่างวัดป่า อย่างพระเถื่อน เพื่อให้มันใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด มันง่าย อยู่กับธรรมชาติน่ะมันง่าย จะได้รู้อะไรเหมือนพระพุทธเจ้ารู้ พระพุทธเจ้าอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด เราก็พยายามจะอยู่ให้ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด เราจะได้มีหัวใจเหมือนหัวใจของพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย เราถึงชอบกลางดิน ชอบธรรมชาติ ชอบต้นไม้ ชอบก้อนหิน ชอบนก เหา มด แมลง อะไร เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งนั้น จะได้สนใจบ้าง มีมด มีแมลงหลายตัวนี่ คลานอยู่นี่ จะได้คิดในทางว่ามันเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายนะ ถ้าเราเห็นแบบนี้ได้แล้วใจมันก็ดีสิ เห็นเพื่อนมนุษย์ว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฆ่าไม่ลง ตีไม่ลงสิ เพราะฉะนั้นอยู่กับธรรมชาติ ให้ละเอียดประณีตสุขุมแบบนี้แหละดีแล้ว และถ้าไปเมื่ออยู่กันแต่เรื่องสำมะเลเทเมา อย่างขี้เมา อย่างไม่ได้คิดได้นึกอะไรแล้วมันก็จิตใจมันไปไกล...ไปแรงขึ้นๆๆๆ ผลสุดท้ายไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม
นี่ก็บอกให้รู้ว่ามาสวนโมกข์เป็นเวลาที่ได้สติ สวนโมกข์ ต้นไม้ ทั้งธรรมชาตินี่มันเตือนสติ เราได้สติ อย่าโฉฉาวกันเหมือนแย่งกันซื้อปลาที่หัวท่าสิ โดยเฉพาะชาวบ้านนั่นน่ะ อย่าดังเอ็ดตะโรเหมือนแย่งกันซื้อปลาที่หัวท่าสิ ถ้าอยากจะได้ประโยชน์จากธรรมชาติที่มาที่สวนโมกข์นี้ อย่าเอะอะสิ อย่าพูดสิ ถ้าต้องพูด พูดให้เบาๆ พอได้ยินกัน แล้วไม่จำเป็นอย่าพูด ให้ความเงียบนี่มันช่วย ช่วยให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติแล้วมันจะเย็นไปตามธรรมชาติ ถ้ามาเอะอะๆกันในที่นี่ เอาโนราห์มาเล่นกันเสียที่นี่แล้วหมดเลย สวนโมกข์ไม่มี ไม่เหลืออยู่เลย ถ้าเงียบ นิ่ง ให้ธรรมชาติมันแสดงตัวเอง เป็นความเงียบ เป็นความเย็น เป็นความสงบแล้วเราก็พลอยได้ แล้วคิดนึกให้ดีๆ เนี่ย ไปสิ เดี๋ยวเข้าไปในนี้ เขาอธิบายให้ฟัง บันทึกเสียง ลงไปที่โรงปั้น เขาอธิบายให้ฟัง บันทึกเสียง มีเทป ตอนที่ดีๆ มีประโยชน์ บันทึกเสียง
นี่แหละผมพูดชี้แจงให้เข้าใจเรื่องคำว่าสวนโมกข์ มาทีนึงก็ให้ได้รับประโยชน์จากสวนโมกข์ทุกๆองค์ ผมไม่มีอะไรที่เป็นวัตถุ สิ่งของ ไม่มีน้ำร้อนน้ำชาให้ฉัน ให้คุณดูสิ จะโกรธก็โกรธเถอะ มันไม่มีและไม่สนใจจะทำ เราสนใจอย่างยิ่งแค่ว่าจะให้คุณได้รับอะไรในจิตใจ ได้รับสิ่งที่ประเสริฐ ที่ดีกว่านั้นลงไปในจิตใจ ได้ช่วยให้ใจสะอาด สว่าง สงบ ถ้าพูดก็คือพระธรรมนั่นแหละ เรื่องพูดพระธรรม ธรรมชาติไปแวดล้อมก็เป็นเรื่องพระธรรมนั่นแหละ ไปดูอะไรที่ไหนก็ขอให้มันสำเร็จเป็นพระธรรมขึ้นมาเลย นี่แหละมีให้แต่สิ่งเหล่านี้แหละ เราเห็นว่ามันมีค่าที่สุด ยิ่งกว่าวัตถุ สิ่งของอื่นๆ นี่ก็ไม่มีอะไรให้ ให้หนังสือเล่มนึง ก็ไปอ่านเรื่องเดียวกันนี้แหละ แต่อย่าลืมนะว่าผมบอกแล้วนะว่าไอ้หนังสือมันช่วยไม่ได้เท่ากับธรรมชาติ ถึงมันเรื่องเดียวกันก็จริงแหละ ตัวหนังสือมันก็เป็นตัวหนังสือ เรื่องเดียวกันก็จริง แต่มันไม่ประทับใจเหมือนกับธรรมชาติเหล่านี้ เราหนังสือก็อ่าน ธรรมชาติก็เรียน ก็ดีสิ ขอให้มีความสุขความสวัสดีทุกๆ รูปเทอญ
ที่มา - โอวาททัศนาจรแก่พระที่มาจาก อ.ท่าฉาง จ. สุราษฎร์ฯ ให้โอวาทแก่ พระภิกษุ สามเณร ญาติโยม และอื่นๆ